วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

ข้าวโพดหลังนา : ความท้าทายของนักวิชาการ




“… กสิกรรมและเกษตรกรรมเป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านทั้งหลายจะต้องช่วยกันค้นคว้าหาความรู้และความชำนาญให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเสมอ และพยายามส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ที่ได้ศึกษามาแก่พี่น้องกสิกรและเกษตรกร ให้ได้ทราบถึงวิธีปฏิบัติอันถูกต้องตามหลักวิชาอีกด้วย จึงจะเกิดประโยชน์แก่สังคมในด้านนี้ และเป็นผลดีแก่ประเทศชาติสืบไป...
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ตัดตอนจากพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตร
ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕

          ช่วงเวลาแห่งความสูญเสียอันใหญ่หลวงของแผ่นดินไทย ได้นำพาความเศร้าโศกและวิปโยคไปทั่วทุกหย่อมหญ้า พระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงดำเนินมาตลอดพระชนม์ชีพ ปรากฏผ่านสื่อมากมายเหลือคณานับ บางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องราวที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ความรักของพระองค์ทีมีต่อพสกนิกร แผ่ไพศาลไปทั่ว ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่แห่งหนใดบนผืนแผ่นดินไทย พระราชประสงค์อันแน่วแน่ที่จะให้ประชาชนของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้า ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ การแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดุลยเดช อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ การปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าทีได
          เรื่องข้าวกับคนไทยเป็นเรื่องราวที่ผูกพันกันมายาวนาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงเล็งเห็นว่า คนไทยต้องปลูกข้าว เพราะคนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก การทำการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่จึงมาข้าวเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมหลัก อย่างน้อยการมีข้าวเพื่อการบริโภคก็เป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางอาหารของเกษตรกรด้วยเหตุที่ข้าวเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่ผูกพันกับคนไทยมายาวนาน และเกี่ยวข้องกับชาวนาที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ยากจนที่สุด เมื่อเทียบกับชาวไร่และชาวสวน กลไกทางการตลาดของข้าว จึงถูกบิดเบือนมาโดยตลอดเช่นกัน ด้วยกลวิธีแตกต่างกันไป ขึ้นกับว่าระดับนโยบายจะกำหนดอย่างไร ผลกระทบจากกลไกการตลาดที่บิดเบือน ทำให้ชาวนาไทยเรียนรู้ที่จะอยู่กับกลไกเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลต่อการขยายพื้นที่การปลูกข้าวในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน รวมถึงการเพิ่มจำนวนรอบของการปลูกข้าวให้มากขึ้น วิถีแห่งชาวนาไทยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำใกล้เคียงจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตลอดจนอายุของชาวนาที่เพิ่มขึ้น ปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคการเกษตร ส่งผลให้เครื่องจักรกลทางการเกษตรเข้ามาบทบาทต่อการทำนามากขึ้นด้วยเช่นกัน 
            ด้านผลผลิตข้าวจากเดิม ๓๖.๐๐ ล้านตันข้าวเปลือกในปี ๒๕๕๓/๕๔ ลดลงเป็น ๓๑.๔๒ ล้านตันข้าวเปลือกในปี ๒๕๕๗/๕๘ ในขณะที่ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลผลิตลดลงไปอีกเพราะประสบปัญหาภัยแล้ง เหลือเป็น ๒๗.๙๒ ล้านตันข้าวเปลือก และคาดการณ์ว่าปี ๒๕๕๙/๖๐ ผลผลิตในรอบที่ ๑ จะมีประมาณ ๒๕.๑๕๖ ล้านตันข้าวเปลือก ในขณะที่พื้นที่การปลูกของข้าวนาปี ๒๕๕๓/๕๔ อยู่ที่ ๖๔.๕๗ ล้านไร่ และปี ๒๕๕๗/๕๘ อยู่ที่ ๖๐.๕๔ ล้านไร่ ก่อนลดลงมาตามสภาพปัญหาความแห้งแล้งในปี ๒๕๕๘/๕๙ เป็น ๕๕.๘๒ ล้านไร่ และในปี ๒๕๕๙/๖๐ เพิ่มเป็น  ๕๗.๒๙ ล้านไร่ ในจำนวนนี้คิดเป็นสัดส่วนการเพิ่มของข้าวหอมมะลิสูงสุด ร้อยละ ๒๒.๑๘ จาก ๒๒.๙๑ ล้านไร่ ในปี ๒๕๕๘/๕๙  เป็น ๒๗.๙๙ ล้านไร่ ในปี ๒๕๕๙/๖๐ ในขณะที่สัดส่วนของการปลูกข้าวเหนียวลดลงมากที่สุด ถึงร้อยละ ๑๕.๓๙ โดยลดลงจาก ๑๗.๙๙ ล้านไร่ ในปี ๒๕๕๘/๕๙  เป็น ๑๕.๒๒ ล้านไร่ ในปี ๒๕๕๙/๖๐ โดยที่พื้นที่ปลูกข้าวนาปรังอยู่ระหว่าง ๑๖ – ๑๘ ล้านไร่ (ขึ้นกับสถานการณ์น้ำและราคารับซื้อ)     
          ในทำนองเดียวกัน สถานการณ์ความต้องการข้าวของโลก มีแนวโน้มลดลง ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา และผู้นำเข้าบางประเทศได้มีนโยบายเพิ่มการผลิตภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ จึงกดดันให้ราคาข้าวภายในประเทศลดต่ำลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่เกษตรกรจะได้รับ แนวทางหนึ่งที่รัฐบาล โดยคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้ความเห็นชอบ คือ การลดรอบของการทำนาลง และสนับสนุนการทำนาในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม โดยในปี ๒๕๕๙/๖๐ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีเป้าหมายจะลดพื้นที่การทำนารอบที่ ๒ ในที่ที่ไม่เหมาะสมลง ๓ ล้านไร่  ซึ่งหนึ่งในมาตรการเพื่อผลักดันให้รอบของการทำนาลดลง คือ การสนับสนุนให้มีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังการทำนาปี ความน่าสนใจของการดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นอย่างไร ท้าทายกับความสามารถของนักวิชาการหรือไม่ โปรดติดตามได้จาก “ฉีกซอง” ฉบับนี้

ข้าวโพด-ขาดแคลน?
          ปริมาณความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของประเทศไทยในปี ๒๕๕๓/๕๔ อยู่ที่ ๔.๒๘ ล้านตัน ก่อนที่จะเพิ่มเป็น ๕.๐๔ ล้านตันในปี ๒๕๕๘/๕๙ และในปี ๒๕๕๙/๖๐ คาดว่าปริมาณความต้องการจะเพิ่มเป็นราว ๗ ล้านตัน ในขณะที่ปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ประเทศไทยผลิตได้อยู่ที่ปีละประมาณ ๔ – ๕ ล้านตัน ดังนั้นจึงมีอุปสงค์ส่วนขาดประมาณ ๒ ล้านตัน ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเป็นไปตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก ในขณะที่ปัจจุบันราคาข้าวโพดมีแนวโน้มลดต่ำลงในทุกตลาด  ทั้งนี้ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยแบ่งเป็นสองช่วง คือ ช่วงต้นฝน และช่วงปลายฝน พื้นที่เพาะปลูกรวมประมาณ ๗  ล้านไร่ ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ  ๖๕๐ กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่กว่าร้อยละ ๘๐ ใช้เมล็ดพันธ์ลูกผสม ส่วนอีกร้อยละ ๒๐ ใช้พันธุ์ผสมเปิด
          สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อปริมาณการผลิตและการตลาด สรุปว่า พื้นที่ที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปัจจุบันอยู่ในเขตที่เหมาะสมน้อยและเขตที่ไม่เหมาะสมราวร้อยละ ๒๑ ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ และร้อยละ ๙๐ ของพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่นอกเขตชลประทาน ต้องอาศัยน้ำฝน ดังนั้นหากเกิดภาวะภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วงย่อมกระทบกับผลผลิตได้เช่นกัน รวมถึงผลผลิตร้อยละ ๙๐ นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ราคาผลผลิตจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นหลักและในช่วงเดือนสิงหาคมถึงธันวาคมเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดต้นฝน หากมีการนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านย่อมส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดในประเทศอย่างแน่นอน รวมถึงการนำเข้าข้าวสาลีราคาถูกมาใช้ทดแทนข้าวโพดในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศด้วยเช่นกัน เพราะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศถูกใช้ในอุตสาหกรรมดังกล่าวเกือบทั้งหมด
          ประเด็นที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ โดยเฉพาะไก่เนื้อ ซึ่งใช้อาหารสัตว์ที่มีข้าวโพดเป็นองค์ประกอบ อาจประสบปัญหา IUU เช่นเดียวกับสินค้าประมง ( IUU Fishing- Illegal Unreported and Unregulated Fishing เป็นการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไรการควบคุม หรือ เป็นการทำประมงที่ผู้ทำการประมงมีพฤติกรรมไม่เคารพกฎระเบียบการประมง  ขาดความรับผิดชอบและเอาเปรียบชาวประมงที่ทําการประมงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การทำประมงในฤดูกาลและบริเวณห้ามจับสัตว์น้ำ การใช้เครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย การจับสัตว์น้ำเกินกำหนดจากที่ได้รับอนุญาต การทำประมงโดยไม่มีใบอนุญาต รวมทั้งการที่เรือประมงทำการประมงโดยอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของรัฐ เป็นต้น) เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่า พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บางส่วนปลูกในพื้นที่สูง ลาดชัน เป็นเทือกเขาสูง และเป็นพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์  ดังนั้น เพื่อไม่ให้พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุกคืบเข้าไปในพื้นที่สูง การส่งเสริมให้ปลูกข้าวโพดหลังนา เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถทำได้ หากเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวโพดจริง
  การวิเคราะห์พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่นาเขตชลประทานของกรมพัฒนาที่ดินจำนวน ๓๕ จังหวัด พบว่าพื้นที่ที่เหมาะสมมาก หรือ S1 และพื้นที่มีเหมาะปานกลาง หรือ S2 รวมกัน ๘ ล้านไร่ และกรมส่งเสริมการเกษตรได้นำร่องขยายผลการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาทดแทนการปลูกข้าวในรอบที่ ๒ ในปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ พื้นที่ ๙ จังหวัด ประกอบด้วย แพร่ พะเยา เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก พิจิตร และชัยนาท พบว่า ผลผลิตเฉลี่ยที่เกษตรกรผลิตได้อยู่ประมาณ ๙๐๐ – ๑,๐๐๐ กิโลกรัม/ไร่  กำไรสุทธิประมาณ ๒,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ บาท/ไร่ ปัจจัยเสี่ยงที่พบ คือ เกษตรกรไม่กล้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการปลูกข้าว มาปลูกข้าวโพด ข้อจำกัดของดินนาที่มักจะเป็นดินเหนียว การระบายน้ำไม่ดี ไม่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวโพด รวมไปถึงวิธีการเตรียมแปลง และการให้น้ำที่แตกต่างไปจากการปลูกข้าว จึงเป็นความท้าทายของนักส่งเสริมการเกษตรที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรได้หรือไม่

ข้าวโพดลูกผสม?
          ข้าวโพดที่ปลูกในปัจจุบันมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการปลูก หากปลูกเพื่อใช้ต้นสดไปหมักหรือนำต้นไปเป็นอาหารสัตว์โดยตรง ต้องเป็นพันธุ์ที่มีลำต้นสูง มีการแตกกอมาก เพื่อจะได้จำนวนต้นและใบมาก ในขณะที่ข้าวโพดที่ปลูกเพื่อเอาเมล็ด จะต้องเป็นข้าวโพดที่ให้น้ำหนักเมล็ดสูง หรือ ข้าวโพดที่นำไปทำข้าวโพดฝักอ่อน หรือข้าวโพดหวานที่รับประทานฝักสด จะต้องเป็นพันธุ์ที่มีจำนวนฝักต่อต้นสูง ข้าวโพดจึงเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีพันธุ์ที่หลายหลาก แต่หากจะจำแนกตามลักษณะการผสมพันธุ์ อาจจำแนกได้ ๒ ประเภทหลักๆ คือ พันธุ์ลูกผสม (hybrids) และพันธุ์ผสมปล่อย หรือ พันธุ์ผสมเปิด (open-pollinated variety)
         สำหรับข้าวโพดลูกผสม (hybrids)  นิยมปลูกในประเทศที่มีการพัฒนาการเกษตรระดับสูง เนื่องจากข้าวโพดพันธุ์ลูกผสมมักมีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้แคบ หรือเปลี่ยนแปรไปตามสิ่งแวดล้อม เช่น หากไม่ได้ใส่ปุ๋ยให้เพียงพอกับความต้องการ  ไม่มีการกำจัดวัชพืช การให้น้ำไม่พอ ข้าวโพดกลุ่มนี้จะให้ผลิตผลได้ไม่ดี นอกจากนั้น การใช้ข้าวโพดลูกผสมจะต้องซื้อเมล็ดใหม่มาปลูกทุกปี ไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ได้ เพราะจะเกิดการกลายพันธุ์ ทั้งนี้ ข้าวโพดลูกผสมอาจเป็นลูกผสมเดี่ยว (single cross) ลูกผสมคู่ (double cross) หรือลูกผสมสามทาง (three-way cross) ก็ได้ ขึ้นกับจำนวนสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง ถ้าเป็นลูกผสมเดี่ยวจะมีสายพันธุ์ ๒ สายพันธุ์ (สายพันธุ์ ก x สายพันธุ์ ข) ลูกผสมคู่มี ๔ สายพันธุ์ (สายพันธุ์ ก x สายพันธุ์ ข) x (สายพันธุ์ ค x สายพันธุ์ ง) และลูกผสมสามทางมี ๓ สายพันธุ์ (สายพันธุ์ ก x สายพันธุ์ ข) x สายพันธุ์ ค ลูกผสมเดี่ยวโดยทั่วไป จะให้ผลิตผลสูงที่สุด แต่มีข้อเสียตรงที่ค่าใช้จ่ายในการผลิตเมล็ดพันธุ์สูง
             ประเภทที่ ๒ คือ พันธุ์ผสมปล่อยหรือพันธุ์ผสมเปิด (open-pollinated variety) พันธุ์ข้าวโพดชนิดนี้ หากได้รับการปรับปรุงพันธุ์อย่างดี อาจให้ผลิตผลได้ใกล้เคียงกับพันธุ์ลูกผสม ข้อดี คือ พันธุ์เหล่านี้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างกว้างขวาง แม้ดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนแปรไป ก็ยังให้ผลผลิตได้ นอกจากนั้น เกษตรกรยังสามารถเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ได้ อย่างน้อย ๒-๓ ปี หรือถ้ารู้จักคัดเลือกพันธุ์เอง อาจไม่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่อีกก็ได้ พันธุ์ข้าวโพดกลุ่มนี้แยกออกได้เป็น ๒ ชนิด คือ (๑) พันผสมรวม (composite) เป็นการรวมพันธุ์ หรือสายพันธุ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน วิธีรวมง่ายๆ ด้วยการนำเมล็ดจำนวนเท่าๆ กัน จากแต่ละพันธุ์ หรือสายพันธุ์มารวมกันเข้า แล้วนำไปปลูกในแปลงอิสระห่างไกลจากข้าวโพดพันธุ์อื่นๆ ปล่อยให้ผสมกันเองตามธรรมชาติแล้วเก็บเกี่ยวเมล็ดไว้ปลูกเป็นพันธุ์ต่อไป  ชนิดที่ (๒) พันธุ์สังเคราะห์ (synthetics) เป็นพันธุ์ที่ได้จากการรวมสายพันธุ์ที่ได้รับการทดสอบการรวมตัว (combining ability) มาแล้ว วิธีการรวมสายพันธุ์อาจทำได้เช่นเดียวกับพันธุ์ผสมรวม
            การพัฒนาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ลูกผสม ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ของเอกชน  โดยพันธุ์ที่เป็นของหน่วยงานราชการที่สำคัญ คือ พันธุ์นครสวรรค์ ๓ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่กรมวิชาการเกษตรพัฒนาและปรับปรุงขึ้น โดยศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน ผ่านการรับรองพันธุ์ในปี ๒๕๕๑ เดิมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ดังกล่าว มีชื่อรหัส NSX492029 เป็นข้าวโพดลูกผสมเดี่ยว เกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวโพดลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ตากฟ้า๑ (พันธุ์แม่) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ตากฟ้า ๓ (พันธุ์พ่อ) มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตเฉลี่ย ๑,๑๐๖ กิโลกรัม ต่อไร่ มีความทนทานแล้งในระยะออกดอก มีความต้านทานโรคราน้ำค้างและโรคราสนิม และ เก็บเกี่ยวด้วยมือง่าย  ระยะออกดอกตัวผู้ ๕๔ วัน ระยะออกไหม ๕๕ วัน อายุเก็บเกี่ยวประมาณ ๑๑๐-๑๑๕ วัน ความสูงของฝัก ๑๑๐ เซนติเมตร ความสูงของต้น ๑๙๖ เซนติเมตร พื้นที่ที่เหมาะสำหรับปลูกข้าวโพดพันธุ์นี้ควรเป็นพื้นที่ดอน ดินมีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี สภาพดินไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป โดยสามารถปลูกได้ทั้งต้นฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และปลายฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งจะปลูกเวลาใดควรคำนึงถึงช่วงที่ข้าวโพดออกดอก (ประมาณ ๕๐ วันหลังปลูก) ต้องมีน้ำเพียงพอและช่วงเก็บเกี่ยวไม่ควรตรงกับช่วงฝนตกชุก ทั้งนี้ก่อนปลูกเกษตรกรควรมีการเตรียมดินโดยทำการไถ ๒ ครั้ง ระยะห่างกันประมาณ ๑ สัปดาห์ ครั้งแรกไถดะ (ผาล๓) และครั้งที่ ๒ เป็นการไถพรวน (ผาล ๗) สำหรับการปลูก ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ ๗๕เซนติเมตร ระหว่างหลุม ๒๐ – ๒๕ เซนติเมตร หลุมละ ๑ ต้น ใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ ๓ กิโลกรัม/ไร่ ส่วนการใส่ปุ๋ยควรใส่ตามค่าวิเคราะห์ดินประมาณ ๑-๒ ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของดินแต่ละพื้นที่ เกษตรกรอาจใส่ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงได้ ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมนครสวรรค์๓ เป็นพันธุ์ข้าวโพดลูกผสม ไม่แนะนำให้เกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ทำพันธุ์ปลูกในรุ่นต่อไป

ข้าวโพดหลังนา ?
          การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชาวนาให้มาเป็นชาวไร่ มิใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ประเด็นของข้าวโพดหลังนาที่ควรระมัดระวัง คือ คุณสมบัติของดิน ซึ่งต้องไม่ใช่ดินเหนียวจัด มีปริมาณเพียงพอโดยเฉพาะในช่วงออกดอก การจัดการน้ำที่เหมาะสม อีกทั้งช่วงการออกดอกที่ต้องไม่กระทบหนาวจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ออกดอกช้ากว่าปกติ และต้องไม่ร้อนจนเกินไปจนกระทั่งข้าวโพดไม่สามารถผสมเกสรได้  รวมไปถึงช่วงการเก็บเกี่ยวที่ต้องไม่กระทบฝน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพของเมล็ดหากมีความชื้นสูง การปฏิบัติดูแลระหว่างการปลูกข้าวและการปลูกข้าวโพดก็แตกต่างกัน ความคุ้นเคยที่มีมายาวนานกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายไม่น้อย การสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นอีกแนวทางหนึ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมส่งเสริมการเกษตร จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เขตชลประทานที่มีศักยภาพใน ๓๕ จังหวัด พื้นที่เป้าหมายรวม  ๒ ล้านไร่ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้มีโอกาสในการเรียนรู้ และมีประสบการณ์ในการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทนการทำนาข้าวรอบ ๒ ควบคู่กับการตลาดร่วมกับภาคเอกชนในการสร้างความมั่นใจในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๙ – มิถุนายน ๒๕๖๐
      พื้นที่เป้าหมาย ๓๕ จังหวัด เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ และเหมาะสมกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาในเขตชลประทาน หรือแหล่งธรรมชาติ หรือแหล่งน้ำอื่นๆ ที่มีน้ำเพียงพอตลอดฤดูปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (500 – 700 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่) แบ่งเป็น ภาคเหนือ ๑๓ จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครสวรรค์ พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๗ จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุดรธานี และอุบลราชธานี ภาคกลาง ๘ จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี และอ่างทอง ภาคตะวันออก ๓ จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นครนายก และปราจีนบุรี และภาคตะวันตก ๔ จังหวัด ได้แก่ นครปฐม เพชรบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี
       คุณสมบัติของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องมีสัญชาติไทย และบรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นหัวหน้าครัวเรือนในทะเบียนเกษตรกร (ทบก.01) ของกรมส่งเสริมการเกษตร ก่อน วันที่ 1 พฤษภาคม 2559และต้องเคยปลูกข้าวนาปรังอย่างน้อย 1 ปี ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา(ปี 2555/56 - 2558/59)  พื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งเกษตรกรต้องมีบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส. ) หากไม่มีต้องขอเปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส. เพื่อประโยชน์ในการรับเงินตามโครงการหลังจากได้รับสิทธิ์ และการตรวจสอบเสร็จสิ้นสมบูรณ์ว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์การปลูกข้าวโพดในโครงการฯ ต้องใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ลูกผสมของภาคเอกชนหรือของทางราชการที่ได้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืชกับกรมวิชาการเกษตร และเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ฯ โดยภาคเอกชนผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวต้องตกลงให้ความร่วมมือสนับสนุนการอบรมถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรในการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับพันธุ์ของตนเองร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรตลอดจนติดตามให้คำแนะนำเกษตรกรอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาการปลูก เพื่อให้การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต่อพื้นที่ของเกษตรกรได้กำไรสูงสุดใกล้เคียงกับศักยภาพของพันธุ์ และเกษตรกรต้องไม่เผาตอซัง หรือฟางข้าว ก่อนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 
            กรมส่งเสริมการเกษตรจะรับสมัครเกษตรกรผู้มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการตามเงื่อนไข แล้วส่งรายชื่อเกษตรกรผู้สมัครเข้าร่วมโครงการให้ ธ.ก.ส. พิจารณาคุณสมบัติการให้สินเชื่อตามหลักเกณฑ์ข้อกำหนดของธนาคารฯ จากนั้นธนาคารฯจะประกาศรายชื่อเกษตรกรที่ผ่านการพิจารณาให้เกษตรกรทราบ เพื่อดำเนินการขอสินเชื่อตามระเบียบปฏิบัติของธนาคารฯ เพื่อนำไปจัดซื้อปัจจัยการผลิต ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมตามเงื่อนไขโครงการ ปุ๋ยเคมี การปรับปรุงพื้นที่ ตลอดจนการวางระบบน้ำหรือขุดบ่อสำรองน้ำในพื้นที่เพาะปลูกและกิจกรรมอื่นๆ  ในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามความต้องการของเกษตรกร และธนาคารฯ จะแจ้งรายชื่อเกษตรกรที่ผ่านหลักเกณฑ์และเข้าสมัครร่วมโครงการโดยสมบูรณ์แล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อกำหนดแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประสานแผนการดำเนินการร่วมกัน เพื่อให้การดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยธนาคารฯ จะพิจารณาสนับสนุนสินเชื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรไร่ละ 4,000 บาท ผ่านบัญชีธนาคารฯของเกษตรกรลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด กล่าวคือ งวดที่ 1  จำนวน 1,800 บาทต่อไร่ สำหรับเป็นค่าเตรียมดิน ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ยเคมีรองพื้น และค่าสารเคมีคุมวัชพืช งวดที่ 2  จำนวน 1,200 บาทต่อไร่ สำหรับเป็นค่าปุ๋ยเคมีครั้งที่ 2 (ปุ๋ยแต่งหน้า) และค่าดูแลรักษา และงวดที่ 3 จำนวน 1,000 บาทต่อไร่ สำหรับเป็นค่าเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ การพิจารณาให้สินเชื่อในแต่ละงวดจะพิจารณาว่าเกษตรกรนำสินเชื่อที่ได้ไปใช้เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามคำแนะนำทางวิชาการหรือไม่ หากเกษตรกรไม่นำสินเชื่อไปใช้ตามวัตถุประสงค์ อาจจะไม่ได้รับสินเชื่อในงวดต่อไป ซึ่งจะมีการติดตามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินผลการปฏิบัติของเกษตรกรอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ กำหนดระยะเวลาการจ่ายเงินกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 และสิ้นสุดการจ่ายเงินกู้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2560 คิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 7 ต่อปี) โดยเรียกเก็บจากเกษตรกรในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตลอดระยะเวลาโครงการ กำหนดชำระคืนหนี้เงินกู้แล้วเสร็จไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันจัดทำหนังสือกู้เงิน และให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีออกจากการดำเนินงานปกติเป็นการดำเนินงานตามนโยบายรัฐ (Public Service Account: PSA) เพื่อขอรับการชดเชยความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตจากรัฐบาล วงเงินกู้ สำหรับโครงการนี้กำหนดไว้ที่ ๘,๐๐๐ ล้านบาท
               สำหรับการรับซื้อผลผลิตและการจ่ายเงินให้เกษตรกร ภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯจะรับซื้อผลผลิตโดยผ่านสหกรณ์การเกษตรเพื่อตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) หรือสหกรณ์การเกษตร หรือเครือข่ายของภาคเอกชนที่มีอยู่ในท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้รวบรวมผลผลิตและดูแลระบบการรับซื้อให้เป็นไปตามเงื่อนไข โดยรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ดกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 8 บาท ในมาตรฐานคุณภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ข้าวโพดเบอร์ 2 ความชื้นไม่เกิน 14.5 เปอร์เซ็นต์ ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลของภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการลดทอนตามชั้นคุณภาพ และระยะทางอย่างเป็นธรรมแก่เกษตรกร ทั้งนี้ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ กำหนดมาตรฐานคุณภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไว้ดังนี้ ความชื้นไม่เกิน 14.5  เปอร์เซ็นต์  เมล็ดเสียไม่เกิน 4 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดไม่สมบูรณ์ไม่เกิน 8 เปอร์เซ็นต์ สิ่งเจือปนไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ และอะฟลาทอกซินไม่เกิน 20 ppb.
          สำหรับภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ จะประกาศจุดรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการให้เกษตรกรทราบล่วงหน้า ส่วนการบริหารจัดการหนี้สิ้นให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของธนาคารฯ โดยหลังจากเกษตรกรจำหน่ายผลผลิต ณ จุดรับซื้อที่บริหารโดยภาคเอกชนที่ร่วมโครงการแล้ว ธนาคารจะหักหนี้สิ้นพร้อมดอกเบี้ยที่เกิดจากโครงการ และจ่ายเงินส่วนที่เหลือเข้าบัญชีของเกษตรโดยตรง และ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จะร่วมกันประเมินผลโครงการ สรุปบทเรียนร่วมกับเกษตรกร เพื่อให้ทราบปัญหาอุปสรรค นำไปใช้ในพัฒนาการดำเนินงานในทุกมิติ
        ผลสำเร็จของโครงการฯ จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการอบรมและถ่ายทอดความรู้ เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชใหม่ของเกษตรกรที่ทำนาปลูกข้าวมาโดยตลอด จึงได้กำหนดวิธีการอบรมและถ่ายทอดความรู้ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำเอกสารทางวิชาการการ ตลอดจนสื่อถ่ายทอดความรู้การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาให้แก่นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล เพื่อนำไปอบรมเกษตรกร และอบรมเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อเตรียมความพร้อมในการถ่ายทอดความรู้การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกร โดย กรมวิชาการเกษตร และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจัดอบรมให้ความรู้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ โดยบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรในพื้นที่มีความต้องการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีการอบรมถ่ายทอดความรู้เรื่องวิทยาการการบริหารจัดการผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีคุณภาพตามความต้องการของภาคเอกชน โดยบริษัทผู้รับซื้อผลผลิตให้แก่เจ้าหน้าที่สหกรณ์การเกษตรเพื่อตลาดลูกค้าธ.ก.ส. (สกต.) ตัวแทนผู้รับซื้อผลผลิตของโครงการตามความจำเป็น ตลอดจนต้องเร่งรัดให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในเดือนธันวาคมซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวโพดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพตามศักยภาพพันธุ์ และต้นทุนการผลิตต่ำ รวมทั้งร่วมกันจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังการทำนา เพื่อประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรนอกโครงการได้เรียนรู้วิธีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังการทำนาที่ถูกต้อง ตลอดจนผลตอบแทนเปรียบเทียบระหว่างระบบการปลูกพืชแบบ ข้าว - ข้าว กับ ข้าว- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อขยายผลการพัฒนาระบบการปลูกข้าวตามด้วยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างยั่งยืน


         
      ความคาดหวังในการนำความรู้ที่ผ่านการศึกษาวิจัยมาอย่างดีแล้ว ถ่ายทอดสู่เกษตรกรผู้เป็นเป้าหมายของการพัฒนาจะสำเร็จ เป็นจริงหรือไม่ เป็นอีกความท้าทายหนึ่งของนักวิชาการเกษตร และเป็นความท้าทายของนักส่งเสริมการเกษตรด้วยเช่นกัน คงต้องมาติดตามกันว่าระบบการปลูกพืชของเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย จะปรับเปลี่ยนมาเป็น ข้าว-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้มากน้อยเพียงใด เป็นกำลังใจให้ผู้กล้าท้าทายทุกท่าน

(ขอบคุณ : สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร / ข้อมูล)

หมายเหตุ : ต้นฉบับคอลัมน์ ฉีกซอง ในจดหมายข่าวผลิใบฯ ก้าวใหม่งานวิจัยการเกษตร กรมวิชากาการเกษตร ประจำเดือนพฤศจิกายน 2559

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น