วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เกษตรอินทรีย์ เกษตรโลกสวย (ตอนที่ 2)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ organic thailand
Cr: https://www.wongnai.com/attractions/369177xo-monkey-farm-organic-thailand


          ฉบับที่แล้ว ได้นำเสนอประเด็นเกษตรอินทรีย์ เกษตรโลกสวย ตอนที่ 1 ได้เล่าถึงความเป็นมาของเกษตรอินทรีย์ สถานการณ์เกษตรอินทรีย์ในภาพรวมของโลก และภาพรวมของประเทศไทย จนกระทั่งจุดเริ่มต้นของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทย              
“ฉีกซอง” ฉบับนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปติดตามกันต่อว่าเกษตรอินทรีย์ เดินทางมาไกล หรือ เดินวนอย่างไร โปรดติดตาม

มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของพืช
          ก่อนที่จะเข้าสู่หมวดของระบบการรับรอง Organic Thailand ต้องทำความเข้าใจกันเบื้องต้นว่า มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ใช้อยู่ฉบับปัจจุบันระบุข้อกำหนดไว้ครอบคลุมตั้งแต่พื้นที่ การวางแผนการจัดการ การเลือกพันธุ์  การจัดการและการปรับปรุงดิน การจัดการศัตรูพืช การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การบรรจุหีบห่อ  การเก็บรักษาและการขนส่ง การแสดงฉลากและการกล่าวอ้าง การบันทึกข้อมูล ตลอดจนการทวนสอบ ซึ่งครอบคลุมตลอดกระบวนการผลิต และเป็นมาตรฐานที่อ้างอิงมาจากมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหภาพยุโรป IFOAM และ Codex
          หลักการของเกษตรอินทรีย์  เป็นที่เข้าใจตรงกันว่าต้องใช้แนวทางการเกษตรแบบผสมผสาน รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ดูแลความยั่งยืนของระบบนิเวศโดยรวม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม   รวมทั้งรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและคุณภาพน้ำด้วยอินทรียวัตถุ ไม่ใช้สารกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ รวมทั้งปัจจัยการผลิตหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาจากการดัดแปรสารพันธุกรรมและไม่ผ่านการฉายรังสี ตลอดจนการเปลี่ยนจากระบบการเกษตรที่มีการใช้สารเคมีมาสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีช่วงระยะเวลาการปรับเปลี่ยนที่กำหนดไว้ชัดเจน กล่าวคือ กรณีพืชล้มลุก ใช้เวลาอย่างน้อย 12 เดือน  ส่วนพืชยืนต้นใช้เวลาอย่างน้อย 18 เดือน  ซึ่งนับตั้งแต่ผู้ผลิตนำมาตรฐานดังกล่าวไปปฏิบัติ และสมัครขอรับการรับรองรองจากหน่วยรับรอง  ในที่นี้คือ กรมวิชาการเกษตร อย่างไรก็ตามหากสามารถแสดงหลักฐานว่าไม่มีการใช้สารเคมีในพื้นที่ที่ขอรับการรับรองมาเป็นเวลานานกว่าเวลาที่กำหนด ผู้ผลิตสามารถขอลดระยะเวลาปรับเปลี่ยนลดมาได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 6 เดือนพื้นที่สำหรับการทำเกษตรอินทรีย์  ต้องแยกชัดเจนออกจากพื้นที่ที่ทำการเกษตรเคมี  และไม่กลับไปใช้สารเคมีอีก และหากฟาร์มดังกล่าวไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ทั้งหมด ต้องแยกแยะชนิดของพืช แบ่งแยกพื้นที่ และกระบวนการจัดการทั้งหมดออกจากกันให้ชัดเจน ป้องกันการปนเปื้อนจากระบบการผลิตทั้งสองแบบ   ซึ่งการทำเกษตรอินทรีย์จะต้องมีแนวป้องกันการปนเปื้อนที่อาจมากับน้ำ  ดิน หรืออากาศ  โดยสร้างสิ่งกีดขวางเป็นการป้องกัน เช่น การทำคันกั้น การทำบ่อพักน้ำ คูน้ำ หรือการปลูกพืชเป็นแนวกันชน  ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเลือกพื้นที่ที่จะทำการผลิตเกษตรอินทรีย์  จะต้องทราบประวัติการใช้พื้นที่ดังกล่าวมาก่อนอย่างละเอียด  ไม่ว่าจะเป็นชนิดพืชที่ปลูก การใช้ปุ๋ยเคมี ตลอดจนความสำเร็จของการใช้พื้นที่ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการวางแผนการผลิตต่อไป
          ในส่วนของการบำรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน  สามารถทำได้ด้วยการปลูกพืชบำรุงดิน    เช่น พืชตระกูลถั่ว การใช้ปุ๋ยพืชสด  หรือการปลูกพืชรากลึกหมุนเวียนกับพืชรากตื้น  รวมทั้งสามารถใช้อินทรีย์วัตถุต่างๆ ที่ได้จากกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์มาปรับปรุงบำรุงดินได้ ตลอดจนสามารถเร่งปฏิกิริยาของปุ๋ยอินทรีย์ด้วยการใช้เชื้อจุลินทรีย์หรือวัสดุจากพืชได้ หรือปรับโครงสร้างของดินด้วยหินบด ปุ๋ยคอก และวัสดุจากพืชที่ผ่านกระบวนการเตรียมทางชีวพลวัตได้ (biodynamic preparations)  ไม่อนุญาตให้ใช้ปุ๋ยคอกจากแหล่งที่มีการเลี้ยงสัตว์ในเชิงอุตสาหกรรมที่มีการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะในอัตราสูง และห้ามใช้มูลสัตว์สดกับพืชอาหารที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค  หลักการสำคัญหน่วยรับรองต้องให้การยอมรับปัจจัยการผลิตที่ใช้สำหรับบำรุงดิน เพื่อสร้างความมั่นใจต่อระบบการผลิต
          ส่วนการควบคุมและป้องกันกำจัดศัตรูพืชในระบบเกษตรอินทรีย์ ใช้วิธีการผสมผสาน   เริ่มตั้งแต่การเลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่มีการจัดระบบการปลูกพืชเพื่อตัดวงจรศัตรูพืชด้วยการปลูกพืชหมุนเวียน       โดยสามารถใช้เครื่องมือกลในการเพาะปลูกได้ และต้องมีการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติด้วยการสร้างที่อยู่ให้กับศัตรูธรรมชาติ   เช่น ตามแนวป่าละเมาะ  แนวรั้ว  ต้นไม้พุ่มเตี้ย  สร้างแหล่งอาศัยให้กับนก รวมทั้งสร้างแนวกันชนเพื่อเป็นแหล่งอาศัยให้กับศัตรูธรรมชาติดังกล่าว รักษาระบบนิเวศโดยรอบให้เกิดความสมดุล สามารถปล่อยศัตรูธรรมชาติเข้าไปในระบบได้ เช่น การใช้ตัวห้ำ - ตัวเบียน การคลุมหน้าดินเพื่อป้องกันการชะล้าง รักษาความชื้นในดินและหากวิธีการต่าง ๆ ดังกล่าวไม่สามารถควบคุมศัตรูพืชได้ อนุญาตให้ใช้สารสกัดจากพืชควบคุมศัตรูพืชได้ เช่น สารสกัดจากสะเดา โล่ติ้น สาหร่ายทะเล เห็ดหอม น้ำชาใบยาสูบ กากชา น้ำส้มควันไม้ เป็นต้น หรือ แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น กำมะถัน เกลือทองแดง ดินเบา ซิลิเกต โซเดียมไบคาร์บอเนต น้ำมันพาราฟิน เป็นต้น
          กรณีส่วนขยายพันธุ์ หรือเมล็ดพันธุ์ที่นำมาปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ ต้องมาจากระบบการผลิตแบบอินทรีย์เท่านั้น แต่ถ้าไม่สามารถหาได้อนุโลมให้ใช้เมล็ดพันธุ์หรือส่วนขยายพันธุ์จากแหล่งทั่วไปได้ แต่ต้องไม่ผ่านการใช้สารเคมี หรือหากมีการใช้สารเคมีต้องมีกระบวนกำจัดสารเคมีให้หมดไปอย่างเหมาะสม และต้องได้รับการยอมรับจากหน่วยรับรอง สำหรับพืชและส่วนของพืชซึ่งได้จากธรรมชาติ  จะกล่าวอ้างว่าเป็นผลผลิตเกษตรอินทรีย์ได้ก็ต่อเมื่อเป็นผลผลิตที่มาจากบริเวณที่กำหนดขอบเขตชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ธรรมชาติ  โดยเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยทำการเกษตรหรือไม่เคยใช้สารเคมีที่ห้ามใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์มาก่อนไม่น้อยกว่า 3 ปี และการเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นต้องผ่านการรับรองจากหน่วยรับรอง นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากธรรมชาติ ต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ
ต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศในพื้นที่ดังกล่าว และยังคงรักษาพันธุ์พืชชนิดนั้นให้คงอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นได้
          ส่วนของการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูป การขนส่ง และการบรรจุหีบห่อ ประเด็นที่สำคัญคือการป้องกันการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิตแบบอินทรีย์         ดังนั้นต้องรักษาความเป็นผลผลิตอินทรีย์ตลอดทุกช่วงของกระบวนการ โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับส่วนประกอบด้วยความระมัดระวังในวิธีการแปรรูป จำกัดการใช้วัตถุเจือปนอาหารและสารช่วยกรรมวิธีผลิต ผลิตผลและผลิตภัณฑ์อินทรีย์ต้องไม่ผ่านการฉายรังสี   เพื่อจุดมุ่งหมายในการควบคุมศัตรูพืช การถนอมอาหาร และการกำจัดจุลินทรีย์ก่อโรค เช่นเดียวกับการป้องกันศัตรูในโรงเก็บ จะเน้นการป้องกันเป็นหลัก    เช่น การป้องกันทางเข้าของศัตรูในโรงเก็บ การกำจัดแหล่งที่อยู่อาศัย หรืออาจใช้วิธีกลและวิธีทางชีวภาพอื่นๆ ประกอบกัน ซึ่งวิธีการต่าง ๆ ข้างต้น เป็นหนึ่งในหลักของวิธีการปฏิบัติในการผลิตที่ถูกต้อง (good manufacturing practice–GMP)
          วิธีการแปรรูป  ควรเป็นวิธีกลทางกายภาพหรือชีวภาพ   เช่น การหมัก  การรมควัน เป็นต้นโดยลดการใช้ส่วนประกอบที่ไม่ได้มาจากการเกษตร  และสารช่วยกรรมวิธีการผลิต  กรณีการสกัด กำหนดให้ใช้ได้เฉพาะการสกัดด้วยน้ำ เอธานอล น้ำมันจากพืชหรือสัตว์ น้ำส้มสายชู คาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจนเท่านั้น และกระบวนการแปรรูปต้องเป็นไปตามหลักการ และวิธีการปฏิบัติที่ดีในการผลิต โดยเป็นไปตามมาตรฐานอาหารและสุขอนามัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การบรรจุหีบห่อ ควรเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
          สำหรับการแสดงฉลาก Organic Thailand จะสามารถแสดงได้ เมื่อทำการยื่นขอรับรองและผ่านการตรวจรับรองตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ดังกล่าว โดยผลผลิตต้องมาจากระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐานฉบับนี้  กรณีผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต้องมาจากระบบเกษตรอินทรีย์ ทั้งนี้ในมาตรฐานฉบับนี้กำหนดให้มีส่วนประกอบอื่นที่ไม่ใช่อินทรีย์ไม่รวมส่วนของน้ำและเกลือ ไม่เกินกว่าร้อยละ 5 โดยที่ต้องไม่ได้จากกระบวนการตัดแต่งสารพันธุกรรม หรือการฉายรังสี
          ในส่วนของการบันทึกข้อมูลการผลิต กำหนดให้มีการบันทึกและเก็บหลักฐานแยกออกไปจากการผลิตพืชทั่วไป รวมถึงจัดทำประวัติ แผนที่ แผนผังฟาร์มให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน รวมถึงต้องจัดทำแผนการผลิตและจดบันทึกการปฏิบัติงานทุกขั้นตอน ประกอบด้วย แหล่งที่มา ชนิด ปริมาณและการใช้ปัจจัยการผลิต วันปลูก การดูแลรักษา  การป้องกันกำจัดศัตรูพืช  วันเก็บเกี่ยว  ชนิดและปริมาณผลผลิต  การจำหน่ายการผลิต และการขนส่ง โดยสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ และให้เก็บเอกสารการผลิตไว้อย่างต่ำ 1 รอบการรับรอง หรือ 1 รอบการผลิตระบบการรับรอง Organic Thailand
          การตรวจรับรอง Organic Thailand  แบ่งการรับรองออกเป็น 3 ลักษณะ  คือ การรับรองฟาร์ม  การรับรองการคัดบรรจุ และการรับรองการแปรรูป โดยผู้ประสงค์จะขอรับการรับรองเป็นได้ทั้งเกษตรกรรายบุคคล กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์/วิสาหกิจชุมชน/โครงการ หรือนิติบุคคลอื่นๆ ก็ได้
          คุณสมบัติของเกษตรกร ต้องเป็นเจ้าของหรือผู้ถือสิทธิครอบครอง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการผลิตพืช   มีชื่อในทะเบียนราษฏร์ของกรมการปกครอง สมัครใจและยินดีที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรอง ไม่เป็นผู้เพิกถอนการรับรอง เว้นแต่พ้นการเพิกถอนแล้ว 1 ปี และก่อนการตรวจประเมินเพื่อขอรับการรับรอง ผู้ยื่นคำขอต้องมีการผลิตแบบอินทรีย์ตามมาตรฐานที่ประกาศกำหนด และต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตในการประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนคุณสมบัติของนิติบุคคล ต้องเป็นเจ้าของหรือผู้ถือสิทธิครอบครอง หรือผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการผลิตพืช ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลถูกต้องตามกฎหมายไทย และสมัครใจขอรับการรับรอง และยินดีปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด รวมทั้งไม่เป็นนิติบุคคลที่ถูกเพิกถอนการรับรอง เว้นแต่พ้นการเพิกถอนแล้ว 1 ปี
          สำหรับกลุ่ม / วิสาหกิจชุมชน / โครงการ สมาชิกกลุ่มต้องเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือสิทธิครอบครอง  หรือได้รับมอบหมายให้ดำเนินการผลิตพืชกลุ่มเกษตรกรต้องได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือกรณีไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย สามารถขอรับการรับรองได้แต่ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 5 คน และกลุ่มดังกล่าวอาจดำเนินการโดยนิติบุคคล หรือองค์กรอิสระก็ได้ นอกจากนี้สมาชิกในกลุ่มต้องปลูกพืชชนิดเดียวกันที่ขอการรับรองอย่างน้อย 2 ราย รวมทั้งสมัครใจขอรับการรับรอง และยินดีปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด อีกทั้งไม่เป็นกลุ่มที่ถูกเพิกถอนการรับรอง เว้นแต่พ้นการเพิกถอนมาแล้ว 1 ปี
          ทั้งนี้  การขอรับรองในลักษณะของกลุ่มหรือนิติบุคคล  จะต้องมีระบบการควบคุมภายใน ซึ่งเป็นระบบควบคุมคุณภาพที่กลุ่มจัดทำขึ้น เพื่อประกันว่ากิจกรรมการผลิตของเกษตรกรสมาชิกและกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในกลุ่มเป็นไปตามมาตรฐานการผลิตอินทรีย์ และเป็นกลไกควบคุมดูแลให้สมาชิกปฏิบัติตามในการรับรอง โดยระบบการควบคุมภายใน ต้องประกอบด้วย การทำสัญญา ใบสมัคร คำรับรอง และหลักเกณฑ์เงื่อนไขของกลุ่ม การฝึกอบรมสมาชิกกลุ่ม โดยสมาชิกต้องได้รับการอบรมความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ และได้รับคู่มือเกี่ยวกับมาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองของกรมวิชาการเกษตร และหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกลุ่ม สำหรับการควบคุมเอกสารและการบันทึก ต้องมีการตรวจสอบและอนุมัติก่อนการใช้ ถ้าล้าสมัยต้องนำออกหรือระบุไว้ชัดเจน ซึ่งต้องเก็บเอกสารไว้อย่างน้อย 1 รอบการผลิต และควรมีข้อมูลครอบคลุมรายชื่อสมาชิก เลขที่บัตรประชาชน ที่อยู่ ที่ตั้งแปลง ขนาดพื้นที่การผลิต ชนิดพืชที่ของรับการรับรอง  แผนการผลิต ประมาณการผลผลิต  และรายการปัจจัยการผลิตที่กลุ่มใช้ ในขณะที่การจัดการกับข้อร้องเรียน  ต้องกำหนดแนวทางการรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับระบบการผลิตของสมาชิก การสืบสวนหาสาเหตุ การกำหนดแนวทางแก้ไข การติดตามผลการแก้ไข และการตอบกลับไปยังผู้ร้องเรียน ทั้งนี้ เอกสารระบบควบคุมภายในของกลุ่ม  ต้องกำหนดและระบุไว้ให้ชัดเจน เช่น คู่มือการผลิต คู่มือระบบควบคุมภายใน แบบฟอร์มต่างๆ เป็นต้น และต้องมีการตรวจติดตามคุณภาพภายในของกลุ่มในรอบการผลิตเสมอ
          รูปแบบการจัดองค์กรของกลุ่ม / นิติบุคคลที่ขอรับการรับรองต้องกำหนดบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน  ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย ประธานกลุ่ม รองประธาน เหรัญญิก เลขานุการ ประชาสัมพันธ์ และสมาชิก  โดยต้องมีผู้ประสานงานระบบควบคุมภายใน คณะกรรมการรับรอง ผู้ตรวจสอบแปลงภายใน เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และกรมวิชาการเกษตรทำหน้าที่เป็นหน่วยรับรอง
          กระบวนการรับรองจะเกิดขึ้น  เมื่อผู้ประสงค์ขอรับการรับรองยื่นคำขอ และเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อกรมวิชาการเกษตร จากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการตรวจสอบเอกสาร การคัดเลือกผู้ตรวจประเมินและวางแผนการตรวจประเมิน การเตรียมการตรวจประเมิน และดำเนินการตรวจประเมิน หากไม่มีข้อบกพร่องใดจะจัดทำรายงาน และแจ้งผลการตรวจประเมิน เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการรับรอง และจัดทำใบรับรองและขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ได้รับการรับรอง จึงมอบใบรับรองให้กับผู้ผ่านการประเมินและเผยแพร่ผู้ได้รับการรับรองให้สาธารณะทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม หากมีการตรวจพบข้อบกพร่อง จะต้องแจ้งให้ผู้ขอรับการรับรองทราบและแก้ไขก่อนที่จะดำเนินการตรวจประเมินใหม่

 à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ organic thailand
                                          Cr:https://siamrath.co.th/n/26013 

เกษตรอินทรีย์ไทยจะไปไหน
          ในภาพรวมของทวีปเอเชีย พบว่า ทวีปเอเชีย เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญของโลก โดยมีจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุด มีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นมาก จาก 0.06 ล้านเฮกตาร์ในปี 2000 เป็น 3.97 ล้านเฮกตาร์ในปี 2015 ทั้งนี้รัฐบาลของหลายๆประเทศในทวีปเอเชียมีนโยบายสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์อย่างแพร่หลาย และประเทศสิกขิมเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียที่ประกาศตัวเป็นประเทศที่ทำการเกษตรอินทรีย์ทั้งประเทศ
          สำหรับประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ซึ่งเป็นแผนฉบับที่ 2 หลังจากที่แผน 1 สิ้นสุดไปตั้งแต่ปี 2554 โดยในแผนใหม่นี้ ตั้งวิสัยทัศน์ให้ "ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคด้านการผลิต การบริโภค การค้าสินค้า และการบริการเกษตรอินทรีย์ ที่มีความยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล" โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้เป็น 600,000 ไร่ในปี 2564 และมีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 30,000 ราย รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนตลาดในประเทศ-ตลาดส่งออกเป็น 40:60 และยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านเพิ่มขึ้น (ข้อมูลปีล่าสุดของปี 2558 ประเทศไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เพียง 273,881 ไร่ และมีเกษตรกรเพียง 10,557 ราย)  ต้องนับว่า แผนยุทธศาสตร์นี้มีเป้าในการขยายเกษตรอินทรีย์กว่าเท่าตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า
          ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรี ย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 แบ่งออกเป็น 4 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ประกอบด้วยกลยุทธส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ กลยุทธเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร บุคลากรที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป และกลยุทธสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ หลักการของยุทธศาสตร์นี้ คือ การส่งเสริมการวิจัยทางด้านเกษตรอินทรีย์ สร้างนักวิจัยด้านเกษตรอินทรีย์รุ่นใหม่ และเกษตรกรสามารถนำผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ได้อย่างแท้จริง บริหารจัดการองค์ความรู้ และฐานข้อมูลทางด้านเทคโนโลยีเกษตรอินทรีย์ เพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล และปรับปรุงข้อมูลให้มีความทันสมัย รวมทั้งส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัยไปใช้ประโยชน์และต่อยอด
ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาการผลิตสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ ประกอบด้วย กลยุทธพัฒนาศักยภาพการผลิตเกษตรอินทรีย์ และกลยุทธบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการผลิตเกษตรอินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ หลักการ คือ พัฒนาการผลิต การแปรรูป บรรจุหีบห่อ และระบบโลจิกสติกส์ โดยแบ่งเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน โดยภาครัฐสนับสนุนด้านความรู้ ปัจจัยการผลิต ส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายในกระบวนการผลิและการตลาดในระดับต่างๆ และการพัฒนาเกษตรอินทรีย์เข้าสู่มาตรฐานระดับสากล โดยภาครัฐอำนวยความสะดวก กำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรม พร้อมทั้งการสร้างช่องทางการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ประกอบด้วย กลยุทธผลักดันมาตรฐานและระบบการตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์ กลยุทธส่งเสริมและพัฒนาตลาดสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์ และกลยุทธการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์สู่ผู้บริโภค สำหรับหลักการได้แก่ การสร้างความเข้มแข็งทางการตลาด การสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการสร้างตราสินค้าและอัตลักษณ์ ความเชื่อมั่นให้แก่สินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ และการเพิ่มช่องทางการตลาดและธุรกิจให้กับสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์
ยุทธศาสตร์ที่ 4 คือ การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ ประกอบด้วย กลยุทธใช้รูปแบบยโสธรโมเดลโดยภาคเอกชนเป็นหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ กลยุทธสนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาเกษตรอินทรีย์ และกลยุทธสร้างกลไกและเครือข่ายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ไปสู่การปฏิบัติ หลักการสำหรับยุทธศาสตร์นี้ คือ การนำแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วน เป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์สู่การปฏิบัติตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ โดยมีกลไกการให้ความรู้และคำแนะนำ มีการติดตามประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อให้การบรูณาการเกิดผล รวมทั้งจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์
  สำหรับจังหวัดยโสธร มีนโยบายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเกษตรกรของ จ.ยโสธร มีการรวมกลุ่มทำการเกษตรอินทรีย์อย่างเหนียวแน่น พัฒนากระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์มาอย่างครบวงจร ผลผลิตได้รับการรับรองมาตรฐาน และได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างจังหวัดยโสธร กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2559 เพื่อพัฒนาส่งเสริมให้จังหวัดยโสธร เป็นจังหวัดต้นแบบเกษตรอินทรีย์ของประเทศครอบคลุม ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์ และขยายพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์อีก 60,000 ไร่ ให้เป็น 100,000 ไร่ภายในปี 2561 พร้อมทั้งเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมบูรณาการสร้างความเข้มแข็งและร่วมขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ของจังหวัดเพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดี และเกษตรกรผู้ผลิตอินทรีย์มีรายได้ดีขึ้นอีกด้วย

08
Cr: https://kmorganicmju.wordpress.com/2017/04/28/

การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ในระดับชาติ อยู่ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เป็นประธาน คณะกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้แทน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ผู้แทนภาคเอกชน (3คน) ผู้ทรงคุณวุฒิ (3คน) รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้รับมอบหมาย ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ  ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และกรมวิชาการเกษตร) ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่ 4 ด้านด้วยกัน คือ (1) กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตรอินทรีย์ของประเทศ (2) ดำเนินการบูรณาการแนวทาง มาตรการแผนงานและงบประมาณกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ (3) จัดระบบการประสานงานและการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งกำหนดงานของส่วนราชการต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ให้มีความเหมาะสม และ (4) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือ บุคคลเพื่อมอบหมายให้ดำเนินการใดตามที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อช่วยปฏิบัติงานการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ตามความเหมาะสม
ความคาดหวังต่อการพัฒนาและขยายงานเกษตรอินทรีย์ให้กว้างขวางออกไป รองรับโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มมากขึ้น การเกษตรที่ว่ากันว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง จะเป็นจริงได้หรือไม่ คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด การเปลี่ยนมือคนทำงานมาเป็นกรมวิชาการเกษตรจะเห็นหน้าเห็นหลังหรือไม่ คงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นกำลังใจให้กันต่อไป เกษตรอินทรีย์ เกษตรโลกสวย

(ขอบคุณ : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ www.fibl.org/ข้อมูล)
พบกันใหม่ฉบับหน้า                                                                               สวัสดี……อังคณา   

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำถามฉีกซอง กองบรรณาธิการผลิใบฯ กรมวิชาการเกษตร จตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ E-mail: ang.moac@gmail.com)
หมายเหตุ :
บทความดังกล่าวเป็นต้นฉบับของคอลัมน์ฉีกซอง ในจดหมายข่าวผลิใบ ก้าวใหม่งานวิจัยและพัฒนาการเกษตร ของกรมวิชาการเกษตร ฉบับเดือนเมษายน 2561 แต่เนื่องจากไม่ได้มีการนำออกมาเผยแพร่จึงขออนุญาตทยอยนำต้นฉบับประจำปีงบประมาณ 2561 ออกมาเผยแพร่ทางช่องทางนี้ หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านทุกท่านตามสมควร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น