“…การที่จะทำงานให้สัมฤทธิผลที่พึงปรารถนา
คือที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น จะอาศัยความรู้แต่เพียงอย่างเดียวมิได้
จำเป็นต้องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องเป็นธรรมประกอบด้วย
เพราะเหตุว่าความรู้นั่นเป็นเหมือนเครื่องยนต์ ทำให้ยวดยานเคลื่อนที่ไปได้ประการเดียว
ส่วนคุณธรรมเป็นเหมือนหนึ่งพวงมาลัยหรือหางเสือ
ซึ่งเป็นปัจจัยที่นำพาให้ยวดยานดำเนินไปถูกทาง ด้วยความสวัสดี คือ
ปลอดภัยจนบรรลุถึงจุดหมายที่พึงประสงค์ ดังนั้น ในการที่จะประกอบการงานเพื่อตนเพื่อส่วนรวมต่อไป
ขอให้สำนึกไว้เป็นนิตย์ โดยตระหนักว่า การงาน สังคม และบ้านเมืองนั้น
ถ้าขาดผู้มีความรู้เป็นผู้บริหารดำเนินการย่อมเจริญก้าวหน้าไปได้ยาก แต่ถ้างานใด
สังคมใด และบ้านเมืองใด ก็ขาดบุคคลผู้มีคุณธรรม ความสุจริตแล้ว จะดำรงอยู่มิได้เลย...”
พระบรมราโชวาท
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ณ อาคารใหม่สวนอัมพร
วันศุกร์ที่
๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในหลายโอกาสว่าด้วยเรื่อง
ความรู้และคุณธรรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการพัฒนาบ้านเมืองและสังคม ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปมิได้ ความรู้และคุณธรรม
จึงเป็นสองเงื่อนไขของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกเหนือจาก ความพอประมาณ
ความมีเหตุมีผล และการมีภูมิคุ้มกัน
ซึ่งเป็นสามห่วงหลักที่จะต้องมี
ในปลายปีงบประมาณ
๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ในช่วงของปลายฤดูฝนและจะเข้าสู่ฤดูหนาว ในบางพื้นที่ยังคงมีน้ำหลาก
บางพื้นที่เริ่มสัมผัสอากาศเย็น หลายฝ่ายต่างก็หวังว่าปีนี้อากาศน่าจะหนาวกว่าทุกปี
คงต้องมาติดตามกันว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ปีน้ำมาก อากาศจะเย็น โบราณกล่าว
ช่วงปี
๒๕๕๙ ต่อเนืองมาถึงปีนี้ ความพยายามในการตรากฎหมายว่าด้วยระบบการเกษตรแบบพันธสัญญา
บรรลุผลสำเร็จไปได้ในระดับหนึ่ง “ฉีกซอง” มีโอกาสได้รับรู้ความเป็นไปของการยกร่างกฎหมายดังกล่าวมาในชั้นการพิจารณาของคณะอนุกรรมาธิการฯ
เนื่องจากคุณสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้บังคับบัญชา ทำหน้าที่เป็นผู้แทนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในคณะอนุกรรมาธิการฯ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก และในที่สุดกฎหมายว่าด้วยระบบเกษตรพันธสัญญา
ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๖ ก เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม
๒๕๖๐ ภายใต้ชื่อ “พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา” เป็นไปอย่างไร โปรดติดตามได้ใน “ฉีกซอง”
ฉบับนี้
ทำเกษตร- ทำสัญญา
สำหรับการทำการเกษตรแบบมีสัญญา หรือ Contract Farming
หมายถึง ระบบการเกษตร ทั้งการเลี้ยงสัตว์
หรือการเพาะปลูกพืช ที่มีการทำสัญญาซื้อขายผลผลิตล่วงหน้าระหว่างฝ่ายเกษตรกร ผู้ผลิต
หรือเจ้าของฟาร์ม กับคู่สัญญา คือ "ผู้รับประกัน" ส่วนใหญ่มักเป็นบริษัทเอกชนที่สัญญาว่าจะซื้อผลผลิตคืนจากอีกฝ่ายในราคาที่ตกลงกันตั้งแต่ต้น
เรียกว่า "ราคาประกัน" และจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อครบกำหนดสัญญาเท่านั้น
หรือ ตามที่ระบุไว้ในสัญญา
ข้อดีของการทำการเกษตรแบบมีสัญญา
หรือ เกษตรพันธสัญญา สำหรับเกษตรกรแล้ว ประเด็นที่เห็นชัดเจนคือ เกษตรกรมีตลาดรับซื้อแน่นอน
ได้ความรู้ทั้งด้านวิชาการ มาตรฐานฟาร์ม และเทคนิคในการปรับลดต้นทุนในการผลิต การจัดหาวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตต่างๆ
รวมไปถึงการสนับสนุนสินเชื่อทางการเงินให้ด้วยในบางกรณี มีการตกลงราคาและเวลารับมอบสินค้ากันชัดเจน
ลดความผันผวนของรายได้ของเกษตรกร โดยสามารถทำให้ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอนและสูงขึ้น
และช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและเงินทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารและจัดการได้ด้วย
รวมทั้งยังช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในการพยุงราคา
ตลอดจนช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานในภาคเกษตรกรรม ในขณะที่บริษัทสามารถนำวัตถุดิบป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อย่างสม่ำเสมอ
ควบคุมต้นทุนได้ สามารถคาดการณ์วางแผนการตลาด รวมถึงบริษัทยังประหยัดได้จากขนาดกิจกรรม
(Economy
of Scale) เนื่องจากเป็นการผลิตขนาดใหญ่
ส่วนผู้บริโภคได้ประโยชน์จากคุณภาพสินค้าที่สูงขึ้นและราคาถูกลง
ในอีกมุมหนึ่ง
เกษตรพันธสัญญา ถูกมองว่า ภาคเอกชนหรือบริษัทมักจะทำสัญญาในรูปแบบสัญญาเชิงเอาเปรียบเกษตรกร
ในเรื่องของผลตอบแทน ความเสี่ยง และความเป็นธรรม ส่งผลให้เกษตรกรเสียเปรียบบริษัท
นอกจากนี้ การทำการเกษตรบางประเภท เช่น การปศุสัตว์ เงินลงทุนต่อฟาร์มค่อนข้างสูง
เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่จะเกิดขึ้น ทำให้การคืนทุนต้องใช้เวลาหลายปี
ขณะที่แหล่งเงินทุนของเกษตรกร มาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ดังนั้น
หากบริษัทยกเลิกพันธสัญญากับเกษตรกรในระยะสั้นหรือไม่วางแผนการผลิตให้ เกษตรกรอาจล้มละลายได้
นอกจากนี้ พบว่าสัดส่วนของรายจ่าย (ต้นทุน) ต่อรายได้ของฟาร์มค่อนข้างสูง ประมาณ
๒๗-๙๒% จึงถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างมาก อีกทั้งเกษตรกรยังมีความเสี่ยงสูง
และเสี่ยงสูงขึ้นเมื่อได้รับผลกระทบทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือโรค-แมลงระบาด
เป็นต้น ส่งผลต่อความเสี่ยงในการสูญเสียผลผลิตมากขึ้นและค่าดำเนินการต่างๆที่ตามมา รวมถึงการที่สัญญาไม่ได้คำนวณรายได้ค่าตอบแทนจากการผลิตที่เป็นขั้นบันไดเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน
ทำให้เกษตรกรไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะถึงจุดคุ้มทุน และมีกำไรจากการลงทุนเมื่อใด
จะว่าไปแล้ว
ผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับระบบเกษตรพันธสัญญาพอสมควร เพราะสมัยที่เริ่มทำงานแรกๆ
กับบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์แห่งหนึ่ง ผู้เขียนประจำการอยู่ฝ่ายไร่
ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลของสัญญาจ้างผลิตเมล็ดพันธุ์ วางแผนการผลิต ในสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรง
ลักษณะสัญญาจึงเป็นสัญญาจ้างปกติ แต่เนื้อหาภายในจะระบุรายละเอียด
และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีปัญหาอะไรมาก
เกษตรกรในฐานะผู้รับจ้างยอมรับในเงื่อนไขที่กำหนด
อาจมีบางส่วนที่มีการสลับขาหลอก แต่ก็ไม่เป็นปัญหารุนแรงที่ขั้นต้องฟ้องร้องกัน
รุนแรงสุดก็คือการขึ้นบัญชีดำไว้เท่านั้น
ผู้เขียนจึงไม่ได้ต่อต้านระบบเกษตรพันธสัญญาแบบหัวชนฝา ในความคิดของผู้เขียน
ระบบเกษตรพันธสัญญาที่มีคุณธรรม
ก็ช่วยให้การพัฒนาการเกษตรก้าวหน้าและยั่งยืนได้เช่นกัน
มีกฎหมาย มีบทบัญญัติ
“พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา”
เกิดขึ้นเนื่องจากปัจจุบันมีการนำระบบเกษตรพันธสัญญามาใช้ในกระบวนการผลิตและบริการทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย
หากมีการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาให้มีความเป็นธรรมตามหลักสากล
จะช่วยสร้างความไว้วางใจ ความร่วมมือ
ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพในการผลิตผลผลิตหรือบริการทางการเกษตรอย่างยั่งยืน
ส่งผลให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางด้านรายได้ และได้รับการถ่ายทอดความรู้อันจำเป็น
ตลอดจนเทคโนโลยีการผลิตที่มีมาตรฐาน มีการควบคุมต้นทุนในการผลิต มีการป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรสามารถประกอบธุรกิจโดยได้รับผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามระยะเวลาที่กำหนด
ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้มแข็งทางธุรกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าเสรีได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากการทำการเกษตรแบบในระบบเกษตรพันธสัญญา มีลักษณะผสมระหว่างสัญญาจ้างทำของ
สัญญาจ้างแรงงาน และสัญญาซื้อ-ขาย ซึ่งมีความซับซ้อนและยุ่งยาก
ในการวิเคราะห์ถึงความคุ้มค่าและต้นทุนในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร
ส่งผลให้ในกรณีที่คู่สัญญาเป็นเกษตรกรรายย่อย ซึ่งมีอำนาจการต่อรองในการทำสัญญาน้อยกว่าผู้ประกอบธุรกิจการเกษตร
มีความเสี่ยงในการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา
สมควรที่รัฐจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย รวมทั้งกำหนดกลไกในการส่งเสริมและพัฒนาระบงผูบเกษตรพันธสัญญา
พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา
เป็นกฎหมายที่ไม่ยาวนัก มีทั้งสิ้น ๔๘ มาตรา ๔ หมวด และ ๑ บทเฉพาะกาล
มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
นั่นคือ มีผลบังคับใช้ในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ให้ความหมายของเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
กล่าวคือ
Credit ภาพประกอบ : ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี กรมวิชาการเกษตร
“ระบบเกษตรพันธสัญญา” หมายถึง
ระบบการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรที่เกิดขึ้นจากสัญญาการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรประเภทเดียวกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรฝ่ายหนึ่งกับบุคคลธรรมดาซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมตั้งแต่สิบรายขึ้นไป
หรือกับสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์
หรือกับวิสาหกิจชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรรมอีกฝ่ายหนึ่งที่มีเงื่อนไขการผลิต
จำหน่าย หรือจ้างผลิตผลิตผลทางการเกษตรหรือบริการทางการเกษตรอย่างหนึ่งอย่างใด
โดยเกษตรกรตกลงที่จะผลิต จำหน่าย หรือรับจ้างผลิตผลิตผลทางการเกษตรตามจำนวน คุณภาพ
ราคา หรือ ระยะเวลาที่กำหนดไว้
และผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรตกลงที่จะซื้อผลิตผลดังกล่าว
หรือจ่ายค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ตามสัญญา
โดยผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรเข้าไปมีส่วนในกระบวนการผลิต เข่น
เป็นผู้กำหนดวิธีการผลิต จัดหาพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร หรือปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องกำหนดให้การทำสัญญาการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรระหว่างผู้ประกอบธุรกิจเกษตรกับบุคคลธรรมดาซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมไม่ถึงสิบรายแต่ไม่น้อยกว่าสองรายขึ้นไปประเภทใด
ต้องนำระบบเกษตรพันธสัญญาตามพระราชบัญญัตินี้ไปใช้บังคับให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
“ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร”
หมายถึง บุคคลที่ประกอบธุรกิจการผลิต แปรรูป จำหน่าย
หรือการส่งออกผลิตผลทางการเกษตร
หรือให้บริการด้านระบบการผลิตสินค้าหรือปัจจัยการผลิตทางการเกษตรในระบบเกษตรพันธสัญญา
“เกษตรกร”
หมายความถึง บุคคลธรรมดาซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม
และให้หมายความรวมถึงสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์
และวิสาหกิจชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม
“เกษตรกรรม”
หมายถึง การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การเพาะสัตว์น้ำ
หรือเกษตรกรรมอื่นที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
“หน่วยงานของรัฐ”
หมายถึง ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน
รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีกฎหมายจัดตั้ง
“คณะกรรมการ”
หมายถึง คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา
“คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท”
หมายถึง คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อมพิพาทกรุงทพมหานคร หรือคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประจำจังหวัด
แล้วแต่กรณี
“ข้อพิพาท”
หมายถึง ข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่
และความรับผิดชอบที่เกี่ยวกับสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา
“รัฐมนตรี”
หมายถึง รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ นั่นคือ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้มีอำนาจในการออกระเบียนหรือประกาศตามพระราชบัญญัติฉบับนี้
สำหรับคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธานกรรมการ คณะกรรมการโดยตำแหน่งรวม
๑๓ คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
อัยการสูงสุด ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย ประธานกรรมการดำเนินการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย
นายกสภาทนายความ และผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
จำนวนไม่เกิน ๙ คน โดยรัฐมนตรีแต่งตั้งจากเกษตรกร จำนวน ๓ คน
ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร ๓ คน และผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านบริหารธุรกิจ
เทคโนโลยีการเกษตร หรือเศรษฐศาสตร์ จำนวนไม่เกิน ๓ คน
โดยมีผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายทำหน้าที่เลขานุการ
Credit ภาพประกอบ : ศูนย์วิจัยปาล์มนำ้มันสุราษฎร์ธานี กรมวิชาการเกษตร
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
กำหนดไว้ ๑๐ ข้อ ดังนี้ (๑) เสนอแผนพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ (๒)
กำหนดแนวทางหรือมาตรการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามให้เป็นไปแผนพัฒนาฯ
(๓) กำหนดรูปแบบสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาและส่งเสริมให้นำรูปแบบสัญญาดังกล่าวไปใช้
(๔) ส่งเสริมให้มีการทำประกันภัยในระบบเกษตรพันธะสัญญา (๕) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้มีการตรากฎหมาย
หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาระบบการเกษตรพันธสัญญา (๖) ติดตาม ประสานงาน
หรือเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามแผนฯ (๗)
ให้คำแนะนำหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา
โดยคำนึงถึงอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐด้วย (๘) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการตาม
(๒) หรือ (๖) และ (๙)
ออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในเรื่องต่างๆ
ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ สุดท้าย (๑๐) ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
และได้ให้อำนาจคณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดแทนคณะกรรมการได้ด้วย
นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการ
ทำหน้าที่ รับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลและสภาพปัญหาเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมในระบบเกษตรพันธสัญญาเสนอต่อคณะกรรมการ
เพื่อประกอบการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
จัดให้มีการศึกษาวิจัยหรือสนับสุนนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม
พิจารณาปัญหาเกี่ยวกับระบบเกษตรพันธสัญญา และนำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
เผยแพร่ ให้ความรู้ ให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการทำสัญญา การเข้าถึงแหล่งเงินทุน
เทคโนโลยีทางการเกษตรและการทำการเกษตรในระบบเกษตรพันธสัญญา
รวมทั้งปฏิบัติงานอื่นใดที่คณะกรรมการมอบหมาย
กรณีที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้และผลของคดีถึงที่สุด
หรือปรากฏข้อเท็จจริงว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพฤติกรรมเอาเปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม
ให้คณะกรรมการมีอำนาจประกาศโดยระบุรายละเอียดของการฝ่าฝืนหรือพฤติกรรม
รวมทั้งระบุชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนทราบได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การดำเนินการดังกล่าว คณะกรรมการ สำนักงานฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ไม่ต้องรับผิดแม้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใด
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ระบบและกลไก
การดำเนินงานให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติฉบับนี้
ในลำดับแรก
ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรที่มีความประสงค์จะทำการเกษตรตามระบบเกษตรพันธสัญญาจะต้องจดแจ้งผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร
กับสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการฯ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ซึ่งสำนักงานฯ
ต้องจัดทำทะเบียนและเปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปไปได้รับทราบ ตรวจสอบได้
รวมทั้งเผยแพร่ในระบบสารสนเทศ สื่ออื่นๆที่ประชาชนเข้าถึงง่าย
และปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันเสมอ หากผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรใด
ประสงค์จะยกเลิกการจดแจ้ง ต้องทำเป็น หนังสือแจ้งต่อสำนักงานฯ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน ทั้งนี้การเลิกประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญาหรือการเลิกนิติบุคคล
ไม่ว่าจะมีการแจ้งหรือไม่ ไม่มีผลให้สัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาสิ้นสุด
ลำดับต่อมา
การทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา ผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตรที่ขึ้นทะเบียนไว้
ต้องจัดทำเอกสารสำหรับการชี้ชวนและร่างสัญญา โดยส่งเอกสารให้กับสำนักงานฯ
เพื่อตรวจสอบ
และส่งให้เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรได้ศึกษาข้อมูลของเอกสารชี้ชวนและร่างสัญญาก่อนตกลงใจเข้าทำสัญญา
เมื่อเกษตรกรตกลงใจทำสัญญา ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรจัดทำสัญญา
โดยมีรายละเอียดตามที่กำหนดไว้ ซึ่งเอกสารชี้ชวนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย และส่งสัญญาคู่ฉบับให้เกษตรกร
ซึ่งเกษตรกรจะได้รับสัญญาคู่ฉบับในวันทำสัญญา
หลังจากนั้นต่างฝ่ายก็ต่างปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
ข้อมูลเบื้องต้นที่ระบุไว้ในเอกสารชี้ชวน
ต้องประกอบด้วย ข้อมูลทางพาณิชย์หรือข้อมูลอื่นใดอันเป็นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรเ กี่ยวเนื่องกับสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาที่ประสงค์จะชี้ชวนต่อเกษตรกร
ข้อมูลแผนการผลิต เงินลงทุน คุณภาพ
ตลอดจนประมาณการของจำนวนหรือปริมาณของผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรที่จะทำการผลิตหรือบริการตามสัญญา
ระยะทางที่เหมาะสมในการขนส่งผลิตผลทางการเกษตร ประมาณการระยะเวลาคืนทุน
ความคุ้มค่าในการผลิต
และภาระความเสี่ยงที่อาจต้องแยกความรับผิดชอบหรือรับผิดชอบร่วมกัน
ข้อมูลที่จำเป็นในกระบวนการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องตามสัญญาและให้รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพมาตรฐานของพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์
อาหาร ยา ปัจจัยการผลิต สารเคมี เครื่องมือ อุปกรณ์
หรือสิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรตามสัญญานั้น
ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าคุณภาพและมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด และข้อมูลอื่นที่กฎหมายกำหนด
สำหรับสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา
ต้องจัดทำเป็นหนังสือ ใช้ข้อความภาษาไทยที่เข้าใจง่าย
หากมีศัพท์ทางเทคนิคจะต้องมีคำอธิบายประกอบ นอกจากนี้
ต้องมีรายละเอียดของชื่อคู่สัญญา สถานที่ติดต่อระหว่างคู่สัญญา และวันที่ทำสัญญา
วัตถุประสงค์ของสัญญา
โดยระบุลักษณะหรือประเภทของการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร
และคุณภาพของผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร ระยะเวลาในการปฏิบัติตามสัญญา
ซึ่งต้องสอดคล้องกับระยะเวลาในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร หรือ
ประมาณการระยะเวลาคืนทุน รายละเอียดของสถานที่ผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร
โดยระบุขนาดพื้นที่และที่ตั้งของสถานที่ดังกล่าว หน้าที่ของคู่สัญญา
ราคาและวิธีการคำนวณราคาวัตถุดิบและผลิตผลทางการเกษตร
หากกำหนดราคาโดยอ้างอิงจากราคาตลาด
ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าราคาตลาดนั้นจะกำหนดอย่างไร และใช้ราคาตลาด ณ เวลาใด หากเป็นสัญญาบริการทางการเกษตร
ต้องกำหนดค่าตอบแทนและวิธีการคำนวณค่าตอบแทนให้ขัดเจน วันและสถานที่ส่งมอบ
การชำระเงินในวันส่งมอบหรือก่อน/หลังวันส่งมอบกี่วัน
เหตุยกเว้นไม่ปฏิบัติตามสัญญาเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง ผู้รับความเสี่ยงในผลิตผลทางการเกษตร
และความเสี่ยงทางการค้ากรณีจำหน่ายไม่ได้ตามราคาที่กำหนด
การเยียวยาความเสียหายจากการผิดสัญญา สิทธิในการบอกเลิกสัญญา และรายละเอียดอื่นๆ
ที่คณะกรรมการกำหนด ข้อตกลงอื่นใดที่ไม่เป็นธรรมต่อเกษตรกรถือว่าผิด
ห้ามบอกเลิกสัญญาด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับสภาพพื้นที่ หรือภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป
ยกเว้นมีการชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งอย่างเป็นธรรม
และห้ามแบ่งสัญญาระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรและเกษตรกร
พันธสัญญาหรือการทำการใดๆเพื่อให้การทำสัญญาไม่เช้าในระบบเกษตรพันธสัญญา
ในส่วนของกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
หากเกิดการพิพาทขึ้นทั้งสองฝ่ายจะเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อน
จึงจะมีสิทธินำข้อพิพาทไปสู่การพิจารณาของอนุญาโตลาการ หรือนำคดีไปสู่ศาล
ซึ่งแบ่งเป็น ๒ คณะ คือ คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกรุงเทพมหานคร
มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานคณะกรรมการ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด
ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการเขตกรุงเทพฯ
ในท้องที่ที่เกิดเหตุ และผู้ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญก้านการเกษตร
หรือ การบริหารธุรกิจซึ่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งไม่เกิน ๓ คน
เป็นกรรมการ โดยมีผู้แทนสำนักงาน ฯ เป็นกรรมการและเลขานุการ
และอีกคณะคือ คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประจำจังหวัด มี
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน อัยการจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย พาณิชย์จังหวัด
ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม นายอำเภอในท้องที่ที่มีข้อพิพาท
และผู้ทรงคุณวุฒิมีความรู้ความเชี่ยวชาญก้านการเกษตร หรือการบริหารธุรกิจซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งไม่เกิน
๓ คน เป็นกรรมการ โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นกรรมการและเลขานุการ
อย่างไรก็ตามหากพื้นที่ที่เกิดข้อพิพาทมากกว่า ๑ จังหวัด ให้คณะกรรมการฯ
จังหวัดที่มีพื้นที่มากกว่าเป็นคณะกรรมการไกล่เกลี่ย ทั้งนี้จะต้องดำเนินการไกล่เกลี่ยในแล้วเสร็จภายใน
๒๐ วัน นับจากวันที่ประธานคณะกรรมการฯได้รับคำร้อง และสามารถขยายเวลาได้ไม่เกิน ๑๐
วัน โดยต้องแจ้งคู่กรณีเป็นหนังสือล่วงหน้าก่อนครบกำหนด
หากสามารถตกลงกันได้ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
และถ้าหากตกลงกันไม่ได้ให้จำหน่ายข้อพิพาท
และคู่สัญญามีสิทธินำข้อพิพาทไปสู่กระบวนการของอนุญาโตตุลาการหรือนำคดีไปสู่ศาล
Credit ภาพประกอบ : ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี กรมวิชาการเกษตร
Credit ภาพประกอบ : ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี กรมวิชาการเกษตร
บทลงโทษตามพระราชบัญญัติฉบับนี้
กำหนดให้มีคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ
ซึ่งมี ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นประธานกรรมการ
ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ และผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยให้มีทั้งในเขตกรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค
ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตร ไม่จดแจ้งประกอบธุรกิจ/แจ้งยกเลิก
ไม่ส่งเอกสารชี้ชวน ไม่ส่งสัญญาให้เกษตรกรหรือทำการแบ่งสัญญา ต้องระวางโทษปรับ หรือ
คู่สัญญาฝ่าฝืนกระทำผิดในระหว่างการไกล่เกลี่ย
ปัจจุบันสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ได้จัดตั้งสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ขึ้น
และเร่งดำเนินการให้คณะกรรมการพิจารณากฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมาเป็นลำดับ
รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบเนื้อหาและวิธีการปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
คงต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง
ท่านผู้อ่านท่านใดที่สนใจรายละเอียดของพระราชบัญญัติฉบับนี้ สามารถติดต่อสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการฯ
ได้ที่โทรศัพท์ ๐ ๒๒๘๑ ๕๙๕๕ ต่อ ๓๕๔ หรือ E-mail :
moaccontractfarming@gmail.com
ในภาพรวมแล้ว
กฎหมายว่าด้วยระบบเกษตรพันธสัญญา
พยายามบัญญัติขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรสูงสุด ด้วยเล็งเห็นว่า
การทำการเกษตรลักษณะดังกล่าว
ความเสี่ยงมักจะถูกผลักไปให้เกษตรกรมากกว่าบริษัทซึ่งเป็นผู้ประกอบการ
อันที่จริงแล้ว ใดๆในโลกนี้ ย่อมมีสองด้านเสมอ ขึ้นกับว่าผู้มองจะมองในแง่มุมใด
ผ่านประสบการณ์อย่างไร เพราะหากทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์โดยเท่าเทียมกัน
กระจายสุข กระจายทุกข์ ชดเชยความขาดความเกินระหว่างกัน
กฎหมายที่บัญญัติไว้อย่างละเอียดและรัดกุมอาจไม่จำเป็นต้องมีเลยก็ได้ หรืออย่างไร
(ขอบคุณ : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์/ข้อมูล)
หมายเหตุ : ต้นฉบับคอลัมม์ฉีกซอง ในจดหมายข่าวผลิใบ ก้าวใหม่งานวิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร
ฉบับเดือนกันยายน 2560
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น