วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ-ขวัญเกษตรแห่งแผ่นดิน (2)



...การเกษตรนั้นถือได้ว่าเป็นทั้งรากฐานและชีวิตสำหรับประเทศของเรา เพราะคนไทยเราส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาชีพทางเกษตรกรรม ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นเสมอมาว่า วิธีการพัฒนาที่เหมาะสมแก่ประเทศเราอย่างยิ่ง ก็คือจะต้องทำนุบำรุงเกษตรกรรมทุกสาขาให้พัฒนาก้าวหน้า เพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรทุกระดับให้สูงขึ้น เริ่มต้นตั้งแต่การลงมือผลิต โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด ด้วยการดัดแปลงปรับปรุงนำสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติมาใช้ ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรของเราได้ผลผลิตเพียงพอแก่การเลี้ยงตัว คือพอมี พอกิน เป็นเบื้องต้นก่อน  ต่อไป เมื่อเหลือจึงจำหน่ายหารายได้ ซึ่งหากจะให้ได้ผลที่สมบูรณ์ ก็จะต้องมีการจัดการเรื่องการตลาดอย่างดี รวมทั้งมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อันจะทำให้ผลิตผลทางการเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้น  โดยนัยนี้เกษตรกรของเราก็จะมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่นคงพึ่งตนเองได้ อันจะส่งผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของประเทศมีความเข้มแข็งตามไปด้วย....
                                      พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ วันพฤหัสบดี ที่ 23 กรกฎาคม 2541

            “ฉีกซอง” ฉบับเดือนพฤษภาคม 2560 ได้นำเสนอเรื่องราวของพระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ  โดยได้กล่าวถึงความเป็นมาเมื่อครั้นในอดีต สำหรับฉบับเดือนมิถุนายน 2560 ขอนำเสนอต่อในส่วนของยุคปัจจุบันเป็นอย่างไรโปรดติดตาม


แรกนาในยุคสมัย
            การจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้กระทำเต็มรูปบูรพประเพณี ครั้งสุดท้ายในปี 2479 แล้วก็ว่างเว้นไปจนกระทั่งในปี 2503 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ฟื้นฟู พระราชประเพณีนี้ขึ้นใหม่ และได้กระทำติดต่อกันมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน ด้วยเห็นว่าเป็นการรักษาพระราชประเพณีอันดีงาม มีผลในการบำรุงขวัญและจิตใจของคนไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชกระแสให้ปรับปรุงพิธีการบางอย่างให้เหมาะสมกับยุคสมัย และเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีนี้ทุกปี จนกระทั่งระยะหลังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร เสด็จเป็นผู้แทนพระองค์ ตราบจนสิ้นรัชกาล ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นวันเกษตรกรประจำปีอีกด้วย เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรพึงระลึกถึงความสำคัญของการเกษตร และร่วมมือกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพของตน โดยในปัจจุบันเมื่อได้มีการฟื้นฟูพระราชประเพณีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมาในระยะแรกนั้นพระยาแรกนา ได้แก่ อธิบดีกรมการข้าว โดยตำแหน่ง สำหรับเทพีทั้งสี่พิจารณาคัดเลือกจากภริยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายหลังพระยาแรกนา ได้แก่ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตำแหน่ง ส่วนผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นเทพีคู่หาบทองและคู่หาบเงินนั้น ได้ทำการพิจารณาคัดเลือกจากข้าราชการหญิงโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีตำแหน่งตั้งแต่ข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทขึ้นไป
พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ข้าวนั้นถือว่าเป็นอาหารหลักของประชาชนในภาษาบาลีเรียกว่า ปุพพัณณะ หรือบุพพัณณะ หรือบุพพัณณชาติ ส่วนพืชอื่น ๆ ที่เป็นอาหารเรียกว่า อปรัณณ หรืออปรัณชาติ หมายถึง พืชจำพวกถั่วงา เป็นต้น ถ้าเรียกควบทั้งสองอย่างก็เรียกว่า บุพพัณณปรัณณชาติ ที่หมายถึงพืชที่เป็นอาหารทุกชนิด บุพพัณณปรัณณชาติที่นำเข้าพิธีพืชมงคลนั้นเป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้มีเมล็ดพืชต่างๆ รวม 40 ชนิด แต่ละชนิดบรรจุถุงผ้าขาวกับเผือกมันต่างๆ พันธุ์พืชเหล่านี้เป็นของปลูกงอกได้ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนาบรรจุกระเช้าทองคู่หนึ่งและเงินคู่หนึ่ง เป็นข้าวพันธุ์ดีที่โปรดให้ปลูกในพระราชวังสวนจิตรลดา และพระราชทานมาเข้าพิธีพืชมงคล พันธุ์ข้าวพระราชทานนี้จะใช้หว่านในพระราชพิธีแรกนาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่เหลือทางการจะบรรจุซองแล้วส่งไปแจกจ่ายแก่ชาวนาและประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ให้เป็นมิ่งขวัญและเป็นสิริมงคลแก่พืชผลที่จะเพาะปลูกในปีนั้นๆ
          ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จะมีการเสี่ยงทาย 2 สิ่ง คือ ผ้านุ่งของพระยาแรกนา และการเสี่ยงทายของกินของพระโค ซึ่งการเสี่ยงทายผ้านุ่งของพระยาแรกนาเป็นการตั้งสัตยาธิษฐานหยิบผ้านุ่งแต่งกาย ลักษณะเป็นผ้าลายมีด้วยกัน 3 ผืน คือ หกคืบ ห้าคืบ และสี่คืบ ผ้านุ่งนี้จะวางเรียงบนโตกมีผ้าคลุมเพื่อให้พระยาแรกนาขวัญหยิบ ถ้าหยิบได้ผืนใดก็จะมีคำทำนายไปตามกัน กล่าวคือ     ถ้าหยิบผ้าได้ 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้างได้ผลไม่เต็มที่  หากหยิบได้ผ้า 5 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี และถ้าหยิบได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอน จะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่
          ส่วนการเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง ซึ่งเป็นของกินที่ตั้งเลี้ยงพระโคนั้นมี ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำ และหญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งใดก็จะมีคำทำนายไปตามนั้น โดยถ้าพระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี  แต่ถ้าพระโคกินถั่วหรืองา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี  และหากพระโคกินน้ำหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควรธัญญาหารผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ หรือถ้าพระโคกินเหล้า   พยากรณ์ว่า การคมนาคมจะสะดวกขึ้น การค้าขายกับ ต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง
          สำหรับคันไถที่ใช้ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อใช้ในพระราชพิธีดังกล่าวตลอดมานั้นสร้างเมื่อปี 2539 โดยกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นคันไถที่ทำจากไม้สมอ อยู่ในความรับผิดชอบและดูแลของกรมส่งเสริมการเกษตร ชุดคันไถดังกล่าวประกอบด้วย
          (1) คันไถ ขนาดความสูงวัดจากพื้นถึงเศียรนาค 2.26 เมตร และความยาวจากเศียรนาคถึงปลายไถ 6.59 เมตร ทาสีแดงชาดตลอดคันไถ ที่หัวคันไถทำเป็นเศียรพญานาคลงรักปิดทอง ลวดลายประดับคันไถเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทองตลอดคัน ปลายไถหุ้มผ้าขาวขลิบทองสำหรับมือจับ
         (2) แอกเทียมพระโค ยาว 1.45 เมตร ตรงกลางแอกประดับด้วยรูปครุฑยุดนาคหล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทองอยู่บนฐานบัว ปลายแอกทั้งสองด้านแกะสลักเป็นรูปเศียรพญานาคลงรักปิดทอง ลวดลายประดับเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทองตลอดคัน ที่ปลายแอกแต่ละด้านมีลูกแอกทั้งสองด้านสำหรับเทียมพระโคพร้อมเชือก กระทาม
        (3) ฐานรอง เป็นที่สำหรับตั้งรองรับคันไถพร้อมแอก ทำด้วยไม้เนื้อแข็งทาด้วยสีแดงชาด มีลวดลายประดับเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทอง ทั้งด้านหัวไถและปลายไถ
        (4) ธงสามชาย เป็นธงประดับคันไถติดตั้งอยู่บนเศียรนาค ทำด้วยกระดาษและผ้าสักหลาด เขียนลวดลาย ลงรักปิดทองประดับด้วยกระจกแวว มีพู่สีขาวประดับด้านบนเป็นเครื่องสูงชนิดหนึ่งเพื่อประดับพระเกียรติ ธงสามชายมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ฐานยาว 41 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร และเสาธงยาว 72 เซนติเมตร
เนื่องจากคันไถที่ใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญถือเป็นของสูง ซึ่งต้องมีความพิถีพิถันในการเตรียมการ ทุกปีก่อนงานพระราชพิธีฯ กรมส่งเสริมการเกษตรผู้รับผิดชอบจะดูแลความเรียบร้อย ทำความสะอาด และตกแต่งให้งดงามและถูกต้องตามแบบแผน เพื่อให้มีความพร้อมและคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระราชพิธีฯดังกล่าว


         ในส่วนของพระโคในทางศาสนาพราหมณ์ หมายถึง เทวดาผู้ทำหน้าที่เป็นพาหนะของ พระอิศวร เปรียบได้กับการใช้แรงงานและความเข้มแข็ง และหมายถึงสัตว์เลี้ยงที่พระกฤษณะและพระพลเทพดูแลซึ่งเปรียบได้กับความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ในการประกอบพระราชพิธี จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จึงได้กำหนดให้มีพระโคเพศผู้เข้าร่วมพิธีเสมอมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เพื่อเป็นตัวแทนของความเข้มแข็งและความอุดมสมบูรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานคัดเลือกพระโคเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ โดย ศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพราชบุรี สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ดำเนินการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ กล่าวคือ ต้องเป็นโคที่มีลักษณะดี รูปร่างสมบูรณ์ มีความสูงไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร ความยาวลำตัวไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอกไม่น้อยกว่า 180 เซนติเมตร โคทั้งคู่จะต้องมีสีเดียวกัน ผิวสวย ขนเป็นมัน กิริยามารยาทเรียบร้อย ฝึกง่าย สอนง่าย ไม่ดุร้าย เขามีลักษณะโค้งสวยงามเท่ากัน ตาแจ่มใส หูไม่มีตำหนิ หางยาวสวยงาม มีขวัญหน้า ขวัญทัดดอกไม้ซ้ายขวา และขวัญหลังถูกต้องลักษณะที่ดี กีบข้อเท้าแข็งแรง ถ้ามองดูด้านข้างลำตัวจะเป็นสี่เหลี่ยม  ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ทำการคัดเลือกพระโคเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัล แรกนาขวัญ ประจำปี 2560 จำนวน 2 คู่ คือ พระโคแรกนา 1 คู่ ได้แก่ พระโคเพิ่ม พระโคพูล และพระโคสำรอง 1 คู่ ได้แก่ พระโคพอ พระโคเพียง
            สำหรับพระโคเพิ่ม มีความสูง 158 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 226 เซนติเมตร ความสมบูรณ์    รอบอก 193 เซนติเมตร อายุ 7 ปี ส่วนพระโคพูล มีความสูง 156 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 237 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 204เซนติเมตร อายุ 7 ปี โดยนายทฤษดี ชาวสวนเจริญ อดีตอธิบดีกรมปศุสัตว์ บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคเพิ่ม แล้วมอบให้กรมปศุสัตว์ นำน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ใช้เป็นพระโคแรกนาขวัญประจำปี 2560 และนายวิจารณ์ ภุกพิบูลย์ บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคพูล แล้วมอบให้กรมปศุสัตว์ นำน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ใช้เป็นพระโคแรกนาขวัญประจำปี 2560
         ในขณะที่พระโคสำรอง คือ พระโคพอ มีความสูง 163 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 212 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 204 เซนติเมตร อายุ 5 ปี และพระโคเพียง มีความสูง 155 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 230 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 200 เซนติเมตร อายุ 5 ปี โดย นายสมชาย ดำทะมิส บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคพอ แล้วมอบให้กรมปศุสัตว์ นำน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ใช้เป็นพระโคสำรองประจำปี 2560 และนายอาคม วัฒนากูล บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคเพียง แล้วมอบให้กรมปศุสัตว์ นำน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ใช้เป็นพระโคสำรองประจำปี 2560
         พระโคแรกนาขวัญ และพระโคสำรอง  เป็นพระโคพันธุ์ไทยมีชื่อประจำพันธุ์ว่า พันธุ์ขาวลำพูนมีผิวสีขาวอมชมพู  ขนสีขาวสะอาด ทั้งลำตัวไม่มีจุดด่างดำ หรือสีอื่นบนลำตัว เขามีสีขาว ลำเขาเป็นลำเทียน  เขาทั้งสองข้างมีลักษณะโค้งสวยงาม ดวงตาแจ่มใสสีน้ำตาลอ่อน ขนตาสีชมพู บริเวณจมูกขาว กีบสีขาว ขนหางเป็นพวงสีขาวยาว ลำตัวช่วงขาหลังและกีบมีความสมบูรณ์แข็งแรง เวลายืนและเดินสง่า โดยโคขาวลำพูนเป็นโคพื้นเมืองสำหรับใช้งานดั้งเดิม พบมากในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ แพร่กระจายไปยังอำเภอต่างๆ ของจังหวัดลำปาง พะเยา และเชียงราย ที่อยู่ใกล้กับจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ มีลักษณะที่โดดเด่นคือมีรูปร่างสูงใหญ่ สูงโปร่ง ลำตัวมีสีขาวตลอด พู่หางขาว หนังสีชมพูส้ม จมูกสีชมพูส้ม เนื้อเขาเนื้อกีบสีน้ำตาลส้ม จากลักษณะเด่นเป็นสง่าดังกล่าว จึงได้ถูกคัดเลือกให้เป็นพระโคในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ความเป็นมาของโคขาวลำพูนนั้น ยังไม่มีผู้ใดศึกษาไว้อย่างจริงจัง และยังไม่ทราบแน่นอนถึงถิ่นกำเนิดที่แท้จริงอยู่ที่ใดและมีมาแล้วตั้งแต่เมื่อใด ที่เริ่มรู้จักกันนั้นมีความเป็นมาจากการที่ภาควิชาสัตวบาล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ริเริ่มเลี้ยงฝูงโคขาว ตั้งแต่ พ.ศ.2521 แทนฝูงโคเนื้อลูกผสมพันธุ์ต่างประเทศ เพื่อหาทางศึกษาชี้นำให้มีการอนุรักษ์และปรับปรุงพันธุ์
            โคขาวลำพูนเป็นโคพื้นเมืองที่เกิดจากฝีมือและผลงานของชาวบ้านในจังหวัดลำพูน มีการพัฒนาสายพันธุ์มานานกว่า 100 ปี เลี้ยงกันแพร่หลายในจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ แล้วแพร่กระจายไปยังจังหวัดลำปาง พะเยา เชียงราย เกิดขึ้นมาได้อย่างไรไม่มีหลักฐานแน่ชัด บางท่านเล่าว่า เกิดจากการกลายพันธุ์ของโคพื้นเมืองในสมัยพระนางจามเทวี ผู้ครองนครหริภุญไชยพระองค์แรก เมื่อ 1,340 กว่าปีมาแล้ว และเป็นสัตว์คู่บารมีของชนชั้นปกครอง ในสมัยนั้นใช้ลากเกวียน แต่หริภุญไชยล่มสลายตั้งแต่ครั้งเมื่อพ่อขุนเม็งรายมหาราชยึดครอง อีกทั้งเป็นเมืองร้าง สมัยพม่าครองเมือง ช่วงกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 ในตำราฝรั่งบางเล่มกล่าวว่า ต้นตระกูลของโคพื้นเมืองในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะเป็นโคยุโรปที่ไม่มีหนอก ซึ่งต่อมาถูกผสมข้ามโดยโคอินเดียที่มีหนอก เพราะโคในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะของทั้งโคยุโรปและโคอินเดียรวมกัน คือมีเหนียงคอสั้น หน้าผากแบน และหูเล็กแบบโคยุโรป มีหนอกแบบโคอินเดีย




           โคขาวลำพูนมีลักษณะเฉพาะตัว คือ มีสีขาวปลอดทั้งตัว ซึ่งแตกต่างจากโคสีขาวพันธุ์อื่นๆ ที่ปาก จมูก ขอบตา กีบ เขา และพู่หางสีดำ แต่โคขาวลำพูนจะเป็นสีขาวทั้งหมด และไม่ใช่โคเผือกเพราะตาดำไม่เป็นสีชมพู เนื่องจากมีลำตัวสีขาวจึงทำให้ทนความร้อนจากแสงแดดได้ดีเป็นพิเศษ โคขาวลำพูนนับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและสังคมเกษตรกรรมของบรรพบุรุษชาวล้านนา ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยปละละเลยให้สูญพันธุ์ไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตามคติของศาสนาพราหมณ์ ตามตำนานกล่าวว่าโคอุสุภราชเผือกผู้มีนามว่าพระนนทิ ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสัตว์จัตุบาท พระนนทิจะแปลงรูปเป็นโคให้พระอิศวรทรง ซึ่งความเชื่อนี้คนอินเดียจึงไม่ทานเนื้อโค จึงมีโคเป็นจำนวนมากในประเทศอินเดีย และประเทศไทยรับความเชื่อของพราหมณ์มา ดังนั้น ในการประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้กำหนดให้มีพระโคเพศผู้เข้าร่วมในพระราชพิธีนี้ดังกล่าว
สำหรับพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปี 2560  สำนักพระราชวังได้ออกหมายกำหนดการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พุทธศักราช 2560 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เป็นพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ครั้งแรก ในรัชกาลที่ 10 ความว่า
        “ เลขาธิการพระราชวัง รับพระราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่า พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดดังรายการต่อไปนี้
          วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม เจ้าพนักงานเตรียมการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงไว้พร้อม
           เวลาบ่าย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
          เวลา 16 นาฬิกา เสด็จพระราชดำเนินเข้าพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนถวายนมัสการพระพุทธมหามณีปฏิมากร และพระพุทธรูปสำคัญ พระราชาคณะถวายศีล จบแล้ว ทรงพระสุหร่าย ถวายดอกไม้บูชาพระพุทธคันธารราษฎร์ ทรงอธิษฐานเพื่อความสมบูรณ์แห่งพืชผลของราชอาณาจักรไทย พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณฯ ประธานพระครูพราหมณ์ อ่านประกาศพระราชพิธีพืชมงคล พระสงฆ์ 11 รูป เจริญพระพุทธมนต์ จบแล้ว ทรงหลั่งน้ำสังข์ ทรงเจิม พระราชทานพระธำมรงค์กับพระแสงปฏัก สำหรับตำแหน่งพระยาแรกนาแก่นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทรงหลั่งน้ำสังข์ ทรงเจิม พระราชทานเทพีผู้ที่จะเข้าในการพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ขณะนั้น พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย เครื่องดุริยางค์แล้ว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ออกจากพระอุโบสถ เสด็จพระราชดำเนินกลับ
            วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม เวลา 7 นาฬิกา 19 นาที สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นรถยนต์หลวงที่หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูสวัสดิโสภา ถนนสนามไชย ไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง แล้วเดินขบวนอิสริยยศแห่ไปส่งที่โรงพิธีพราหมณ์ จุดธูปเทียนถวายสักการะเทวรูปสำคัญแล้ว จะได้ตั้งสัตยาธิษฐานหยิบผ้านุ่งแต่งกายไว้พร้อม
            ครั้นเวลา 8 นาฬิกา 30 นาที สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพลับพลาท้องสนามหลวง ระหว่างเวลาฤกษ์ 8 นาฬิกา 19 นาที ถึงเวลา 8 นาฬิกา 59 นาที นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทำหน้าที่พระยาแรกนา จะได้ยาตราพร้อมเทพีออกจากโรงพิธีพราหมณ์ มีราชบัณฑิตและพราหมณ์ นำผ่านพลับพลาหน้าพระที่นั่ง พระยาแรกนาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายบังคมแล้วไปยังลานแรกนา เจ้าพนักงานจูงพระโคเทียมแอก พระยาแรกนาเจิมพระโคและไถแล้วจึงไถดะไปโดยรี 3 รอบ โดยขวาง 3 รอบ หว่านธัญพืช โหรหลวงลั่นฆ้องชัย แล้วไถกลบอีก 3 รอบ เจ้าพนักงานปลดพระโคออกจากแอก พระยาแรกนาและเทพีกลับไปยังโรงพิธีพราหมณ์ พราหมณ์เสี่ยงของกิน 7 สิ่ง ตั้งเลี้ยงพระโค โหรหลวงจะได้ถวายคำพยากรณ์ เสร็จแล้วจะได้แห่พระยาแรกนาเป็นขบวนอิสริยยศจากโรงพิธีพราหมณ์ พระยาแรกนาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายบังคมแล้วเข้าขบวนไปขึ้นรถยนต์หลวงไปยังแปลงนาสาธิต สวนจิตรลดาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับ”
            ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนาในปี 2560 คือ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และเทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวนันทินี ทองคงเหย้า นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร และนางสาวฉมาพันธ์ สุพรมอินทร์ นักวิชาการตรวจสอบบัญชีปฏิบัติการ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์  ส่วนเทพีคู่หาบเงิน  ได้แก่ นางสาวนันทวัน สุวรรณสถิตย์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ กรมชลประทาน  และนางสาวพรพิมล ศิริการ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร




            พันธุ์ข้าวที่ใช้ในพิธีสำหรับปีนี้ กรมการข้าวได้ดำเนินการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำพันธุ์ข้าวทั้งหมด 11 พันธุ์ รวมน้ำหนักเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งสิ้น 2,865 กิโลกรัม นำเข้าพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และจัดเป็น "พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทานและบรรจุในซองพลาสติกแจกจ่ายเพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรตามประเพณีนิยม เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์สืบไป
ผลการทำนายสำหรับปี 2560 โหรหลวงถวายคำพยากรณ์  สรุปได้ดังนี้  การเสี่ยงทาย "ผ้านุ่งแต่งกาย ของพระยาแรกนา ผ้านุ่งซึ่งพระยาแรกนาตั้งสัตยาธิษฐานหยิบได้ผ้า 5 คืบ พยากรณ์ว่า  น้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี  ส่วนการเสี่ยงทายพระโค พระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี  พระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์




             หลังจากพิธีอันเป็นสิริมงคลให้กับเกษตรกรไทยในครั้งนี้ จะเป็นขวัญและกำลังใจให้เกษตรกรเริ่มฤดูการผลิตใหม่ได้อย่างเชื่อมั่นและมีความหวัง ภายใต้ความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น การจัดการความเสี่ยงอย่างมีความพร้อม จะช่วยให้เกษตรกรไทยผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ความผูกพันระหว่างการทำการเกษตรและธรรมชาติยังคงอยู่เสมอ จนมีคำกล่าวว่า “การเกษตรเป็นหุ้นส่วนของธรรมชาติ” ความเข้มแข็งของภาคการเกษตรจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเกษตรกรซึ่งเป็นจักรกลสำคัญของภาคการเกษตรไม่มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพเพียงพอ ขอพลังจงอยู่กับทุกท่าน
(ขอบคุณ : สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง , สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กรมส่งเสริมการเกษตร , กรมปศุสัตว์ , กรมการข้าว/ข้อมูล)

หมายเหตุ ต้นฉบับคอลัมม์ฉีกซอง จดหมายข่าวผลิใบ ก้าวใหม่งานวิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ฉบับเดือนมิถุนายน 2560

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ-ขวัญเกษตรแห่งแผ่นดิน (1)






...เวลานึกถึงทำไมมีข้าวมาก ราคาข้าวก็ตก ก็น่าจะเป็นการดีที่มีข้าวมาก พวกเราที่บริโภคข้าวก็จะได้ซื้อข้าวในราคาถูก แต่หารู้ไม่ว่าข้าวที่บริโภคทุกวันนี้ ราคาก็ยังแพงเป็นที่เดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป ก็ต้องหาเหตุผล ทำไมแพง ข้าวที่บริโภคแพง และข้าวที่ชาวนาขายถูกเข้าไปหากลุ่มชาวนา ถามเขาว่าเป็นอย่างไร เขาบอกว่าแย่ ข้าวราคาถูก ก็ถามเขาว่า ยุ้งฉางมีหรือเปล่าที่จะเก็บข้าว เขาบอกว่ามี ก็เลยเห็นว่าควรที่จะเก็บข้าวเอาไว้ก่อน หลังจากที่ข้าวล้นตลาด แต่ว่าไม่ทันนึกดูว่า ทำไมเขาเก็บข้าวไม่ได้ แม้จะมียุ้งฉาง ก็เพราะเขาติดหนี้ เหตุที่ติดหนี้ก็คือ เสื้อผ้าเหล่านั้นหรือกะปิ น้ำปลา หรือแม้กระทั่งข้าวสารก็ต้องบริโภค ถ้าไม่ได้ไปซื้อที่ตลาด หรือร่วมกันซื้อ ก็คงเป็นพ่อค้า หรือผู้ที่ซื้อข้าวเป็นผู้นำมา อันนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้ข้าวถูก ข้าวเปลือกถูก แล้วก็ทำให้ข้าวสารแพง คือว่าชาวนาทำนาไปตลอดปี ก็ต้องบริโภค เมื่อต้องบริโภคก็ต้องเอาสิ่งของ ต้องไปติดหนี้เขามาสำหรับหาสิ่งของบริโภค แล้วก็เอาเครื่องบริโภคก็ได้รับบริการอย่างดีที่สุดจากผู้ที่มาซื้อข้าว บอกว่าไม่ต้องเอาข้าวมาเดี๋ยวนี้ เวลาได้ผลแล้วก็จะเอา แต่ว่าเอาสิ่งของมาให้แล้วก็เชื่อ ของนั้นก็มีราคาแพง เพราะว่านำมาถึงที่ ข้าวที่เวลาได้แล้วจะขายก็ต้องขายในราคาถูก เพราะว่าเขามักรับถึงที่ อันนี้เป็นปัญหาสำคัญถ้าจะแก้ปัญหานี้ ก็จะต้องแก้จุดนี้ ต้องแก้ด้วยการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มผู้บริโภคเหมือนกัน แล้วก็ไปติดต่อกับกลุ่มผู้ผลิต โดยที่ไปตกลงกันและอาจจะต้องตั้ง หรือไปตกลงกับโรงสีให้แน่ จะได้ไม่ต้องผ่านหลายมือ ถ้าทุกคนที่บริโภคข้าวตั้งตัวเป็นกลุ่ม แล้วก็ไปซื้อข้าวเปลือก แล้วไปพยายามสีเองหรือให้ผู้แทนของตัวสี ก็ผ่านมือเพียงผู้ที่ผลิต ผู้ที่สี และผู้ที่บริโภค ก็ตัดปัญหาอันนี้ (คนกลาง) ลงไป...
                                      พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
ในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินทรงดนตรี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2514

          ปัญหาเรื่องข้าวและชาวนาไทย เป็นปัญหาที่มีมาเนิ่นนาน เหมือนเป็นวัฎจักรหมุนวนไป มีชาวนาน้อยรายมากที่ทำนาแล้วสามารถซื้อที่นาเพิ่มขึ้นมาเป็นของตัวเอง จากผลกำไรของการทำนา ในทางกลับกัน มีชาวนาจำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียที่นาของตนเองไปให้กับเถ้าแก่โรงสี กลายสภาพจากเจ้าของที่นาเป็นเพียงผู้เช่าที่นา และบางรายถึงกลับออกจากอาชีพการทำนา ไปสู่อาชีพอื่นแทน ผู้ที่ยังทำนาอยู่ก็มักจะสอนลูกสอนหลานให้ประกอบอาชีพอื่น อย่าได้ทำนา เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพที่ยากลำบาก รายได้ต่ำ ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม อาชีพการทำนาก็ยังเป็นอาชีพของเกษตรกรส่วนใหญ่ของไทย เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศมีความเหมาะสม ชาวนาสะสมและถ่ายทอดประสบการณ์มาจากรุ่นสู่รุ่น การเปลี่ยนแปลงวิถีของชาวนา จึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายยอมรับว่ายากมาก
          ด้วยวิถีสังคมเกษตรกรรมของไทย การสร้างขวัญกำลังใจให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชาวนา” เป็นสิ่งที่สถาบันมหากษัตริย์ให้ความสำคัญมาแต่โบราณกาล จึงได้กำหนดให้พิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นหนึ่งในพระราชพิธีที่สำคัญของประเทศไทย เป็นมาอย่างไร ปัจจุบันเป็นอย่างไร โปรดติดตามใน “ฉีกซอง” ฉบับนี้

พืชมงคล-จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
          พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีกรรม 2  พิธีที่ทำร่วมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล และพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ โดยพระราชพิธีพืชมงคล เป็นพิธีสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงกำหนดเป็นครั้งแรก เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพันธุ์ต่างๆ เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น เพื่อเป็นสิริมงคลให้เมล็ดพันธุ์มีคุณภาพ ปราศจากโรคต่างๆ เจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี ส่วนพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีพราหมณ์ มีมาแต่โบราญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งสัญญาณว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฤดูการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งสองพิธีนี้ได้ทำอย่างเต็มรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี พ.ศ. 2479 จึงได้เว้นการจัดไป เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองไม่เหมาะสม  ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 ได้กำหนดให้จัดพิธีพืชมงคลขึ้นมาใหม่ ด้วยภาครัฐในสมัยนั้นเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เกษตรกรส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา จึงควรจะฟื้นฟูประเพณีโบราณที่เป็นมงคลต่อการเพาะปลูกขึ้นมาอีกครั้ง แต่มีเฉพาะพิธีพืชมงคลเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2503 จึงได้จัดพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ทั้งสองพิธีสำคัญของการเกษตรได้กลับมาจัดพร้อมกันใหม่ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
          พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในอดีตของไทย ปรากฏในหนังสือนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สมัยกรุงสุโขทัย โดยมีข้อความว่า “...ในเดือนหก พระราชพิธีไพศาขจรดพระนังคัล พราหมณ์ประชุมกันผูกพรดเชิญเทวรูปเข้าโรงพิธี ณ ท้องทุ่งละหานหลวงหน้า พระตำหนักห้าง เขากำหนดฤกษ์แรกนาว่าใช้วันอาทิตย์ พระเจ้าแผ่นดินทรงเครื่องต้นอย่างเทศ ทรงม้าพระที่นั่ง พยุหยาตรา เป็นพระบวนเพชรพวง พระอัครชายาและพระราชวงศานุวงศ์ พระสนมกำนัลเลือกแต่ที่ต้องพระราชหฤทัย ขึ้นรถประเทียบตามเสด็จไป ในกระบวนหลังประทับที่พระตำหนักห้าง จึงโปรดให้ออกญาพลเทพธิบดีแต่งตัวอย่างลูกหลวง มีกระบวนแห่ประดับด้วย กรรเชิงบังสูร พราหมณ์เป่าสังข์โปรยข้าวตอกนำหน้า ครั้นเมื่อถึงมณฑลท้องละหาน ก็นำพระโคอุสภราชเทียมไถทอง พระครูพิธีมอบยามไถและประฎักทอง ให้ออกญาพลเทพเป็นผู้ไถที่หนึ่ง พระศรีมโหสถ ซึ่งเป็นบิดานางนพมาศเอาแต่งตัวเครื่องขาวอย่างพราหมณ์ ถือไถหุ้มด้วยรัตกัมพลแดง เทียมด้วยโคกระวินทั้งไม้ประฎัก พระโหราลั่นฆ้องชัยประโคมดุริยางค์ดนตรี ออกเดินไถเวียนซ้ายไปขวา  ชีพ่อพราหมณ์ปรายข้าวตอกดอกไม้ บันลือเสียงสังข์ไม้บัณเฑาะว์ นำหน้าไถ ขุนบริบูรณ์ธัญญา นายนักงานนาหลวงแต่งตัวนุ่งเพลาะ คาดรัดประคตสวมหมวกสาน ถือกระเช้าโปรยหว่านพืชธัญญาหาร ตามทางไถจรดพระนังคัลถ้วนสามรอบ ในขณะนั้นมีการมหรสพ ระเบงระบำโมงครุ่มหกคะเมนไต่ลวดลอดบ่วงรำแพนแทงวิสัยไก่ป่าช้าหงส์ รายรอบปริมณฑลที่แรกนาขวัญ แล้วจึงปล่อยพระโคทั้งสามอย่างออกกินเสี่ยงทายของห้าสิ่ง แล้วโหรพราหมณ์ก็ทำนายตามตำรับไตรเทพ ในขณะนั้นพระอัครชายาก็ดำรัสพระสนมให้เชิญเครื่องพระสุพรรณภาชน์มธุปายาสขึ้นถวายพระเจ้าอยู่หัวเสวย ราชมัลก็ยกมธุปายาสเลี้ยงลูกขุนทั้งปวง...”
          ต่อมาในสมัยอยุธยา ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลว่า “พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้เสด็จไปในพิธี โปรดให้เจ้าพระยาจันทกุมาร เป็นผู้แทนพระองค์มอบพระแสงอาญาสิทธิ์ให้ ส่วนพระพลเทพคงเป็นตำแหน่งเสนาบดี สำหรับพระเจ้าแผ่นดินนั้น ในตอนนี้ทรงทำเหมือนหนึ่งออกจากอำนาจความเป็นกษัตริย์ทรงจำศีลเงียบเสียสามวัน” และในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่า “ พระราชพิธีจรดพระนังคัล พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้พระจันทกุมารแรกนาต่างพระองค์ ส่วนพระมเหสีก็จัดนางเทพีต่างพระองค์เหมือนกัน นั่งเสลี่ยงเงิน มีกระบวนแห่เป็นเกียรติยศไปยังโรงพิธีซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลวัดผ้าขาว ครั้นถึงเวลามงคลฤกษ์พระจันทกุมาร ถือคันไถเทียมด้วยโคอุสุภราช ออญาพลเทพ จูงโคไถ 3 รอบ นางเทพีหว่านข้าวเสร็จแล้ว จึงปลดโคอุสุภราชให้กินน้ำ ถั่ว งา ข้าวเปลือก ถ้ากินสิ่งใดก็มีคำทำนายต่างๆ” ทั้งนี้ ภายในเวลาการพระราชพิธีจรดพระนังคัลสามวันนี้ ยกพระราชทานภาษี ค่าท่าและอากรขนอนแก่พระจันทกุมารผู้แรกนา เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ราษฎรจึงจะลงมือไถหว่านทำนาต่อไป และหากบางปีไม่มีฝนตก ก็จะมีพิธีขอฝนตามมาด้วย
          สมัยรัตนโกสินทร์ พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยตำแหน่งเจ้าพระยาพลเทพจะต้องยืนชิงช้า หรือ ทำพิธีโล้ชิงช้าด้วย ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ หากมีการตกชิงช้าหรือป่วยก็จะเปลี่ยนให้พระยาประชาชีพแทน หรือเมื่อเจ้าพระยานิกรบดินทร์ยืนชิงช้าก็โปรดให้แรกนาด้วย กล่าวได้ว่า เมื่อครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นธรรมเนียมว่าผู้ใดยืนชิงช้าผู้เป็นผู้แรกนาด้วย พิธีแรกนาในสมัยนั้นไม่ได้เป็นการกระทำหน้าพระที่นั่ง เว้นไว้แต่มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรเมื่อใด จึงได้ทอดพระเนตร เล่ากันว่าเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ขณะเมื่อทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ในปีมะแมเบญจศก ศักราช ๑๑๘๕ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการบูรณะทุกวัน ครั้นเมื่อถึงพระราชพิธีจรดพระนังคัลจึงโปรดให้ยกการพระราชพิธีมาตั้งที่ปรกหลังวัดอรุณฯ           ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแรกนาที่ทุ่งส้มป่อยครั้งหนึ่ง ภายหลังโปรดให้มีการแรกนาที่กรุงเก่า และที่เพชรบุรีได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร พระยาเพชรบุรี (บัว) แรกนาที่เขาเทพพนมขวดครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง        
            จะเห็นได้ว่าพระราชพิธีจรดพระนังคัลแต่ก่อนมีแต่พิธีพราหมณ์ ไม่มีพิธีสงฆ์ ครั้งมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ในพระราชพิธีต่างๆ จึงได้เพิ่มในพิธีจรดพระนังคัลนี้ด้วย แต่ยกเป็นพิธีหนึ่งต่างหาก เรียกว่า พิธีพืชมงคล โปรดให้ปลูกพลับพลาขึ้นในที่หน้าท้องสนามหลวง และสร้างหอพระเป็นที่ไว้พระคันธารราษฎร์สำหรับการพระราชพิธีพืชมงคลและพุทธศาสตร์ สมัยก่อนนั้นพระยาผู้จะแรกนาจะไม่ได้ฟังสวด เป็นแต่กราบถวายบังคมลาแล้วก็ไปเข้าพิธีเหมือนตรียัมปวาย กระเช้าข้าวโปรยก็ใช้พนักงานกรมนาหาบ ไม่ได้มีนางเทพีเหมือนเช่นปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อโปรดให้มีพระราชพิธีพืชมงคลขึ้น จึงได้ให้มีนางเทพีสี่คน จัดเจ้าจอมเถ้าแก่ที่มีทุนรอนพาหนะพอจะแต่งตัวและมีเครื่องใช้ไม้สอย ติดตามให้ไปหาบกระเช้าข้าวโปรย เมื่อวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล ก็ให้ฟังสวดพร้อมด้วยพระยาผู้จะแรกนา และให้มีราชบัณฑิตเชิญพระเต้าเทวบิฐ ซึ่งเป็นพระเจ้าเกิดขึ้นใหม่ในรัชกาลนั้นประพรมที่ แผ่นดินนำหน้าพระยาที่แรกนา ให้เป็นสวัสดิมงคลอีกชั้นหนึ่ง การพระราชพิธีนี้ ในเวลาบ่ายวันที่จะสวดมนต์ก็มีกระบวนแห่พระพุทธรูปออกไปจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  พระราชพิธีจรดพระนังคัล จึงเริ่มตั้งแต่เวลาบ่ายวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล มีกระบวนแห่ๆ พระเทวรูปพระอิศวร  พระอุมาภควดี  พระนารายณ์  พระมหาวิฆเนศวร  และพระพลเทพแบกไถ  กระบวนแห่นี้มีธงคู่แห่เครื่องสูงกลองชนะ คล้ายกันกับที่แห่พระพุทธรูป แต่จะลดหย่อนลงไป ออกจากพระบรมมหาราชวังเข้าโรงพิธีที่ทุ่งส้มป่อยนาหลวง เวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีก็จะทำพิธีปกติ
           วันรุ่งขึ้น เวลาเช้า กระบวนแห่แห่พระยาผู้แรกนา กำหนดเกณฑ์คนเข้ากระบวนแห่ 500 กระบวน แต่ไม่เป็นกระบวนใหญ่เหมือนอย่างแห่ยืนชิงช้า โดยพระยาแรกนาแต่งตัวเหมือนยืนชิงช้า เมื่อถึงโรงพระราชพิธีเข้าไปจุดเทียนบูชาพระพุทธรูป แล้วตั้งจิตอธิษฐานจับผ้าสามผืน ผ้านั้นเป็นผ้าลายหกคืบ ห้าคืบ และสี่คืบ ถ้าจับได้ผ้าที่กว้างเป็นคำทำนายว่าน้ำจะน้อย ถ้าได้ผ้าที่แคบว่าน้ำจะมาก โดยเมื่อจับได้ผ้าผืนใดก็นุ่งผ้าผืนนั้น ทับผ้านุ่งเดิมอีกชั้นหนึ่ง นุ่งอย่างบ่าวขุนออกไปแรกนา มีราชบัณฑิตคนหนึ่ง เชิญพระเต้าเทวบิฐประน้ำพระพุทธมนต์ข้างหน้า พราหมณ์เชิญพระพลเทพคนหนึ่งเป่าสังข์ 2 คน พระยาจับยามไถ พระมหาราชครูพิธียื่นประตักด้านหุ้มแดะไถดะไปโดยรีสามรอบ แล้วไถแปรโดยกว้างสามรอบ นางเทพีทั้ง 4 จึงได้หาบกระเช้าข้าวปลูก กระเช้าทอง 2 คน กระเช้าเงิน 2 คน ออกไปให้พระยาโปรยหว่านข้าว และไถกลบอีกสามรอบจึงกลับเข้ามายังที่พัก ปลดพระโคออกกินเลี้ยงของเสี่ยงทาย 7 สิ่ง คือ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่ว เหล้า น้ำ หญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งไรก็มีคำทำนาย แต่คำทำนายมักจะว่ากันว่า ถ้าพระโคกินสิ่งใดสิ่งนั้นจะบริบูรณ์ จึงเป็นการเสร็จพระราชพิธีจรดพระนังคัล จากนั้นแห่พระยาและเทวรูปกลับ    พอพระยากลับผู้ที่มาร่วมพิธีต่างก็พากันเข้าแย่งเก็บข้าว จนไม่มีเหลืออยู่ในท้องนา เมื่อรัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้ไปชันสูตรหลายครั้งว่ามีข้าวงอกบ้างหรือไม่ ก็ไม่พบเหลืออยู่จนงอกเลย เมื่อทอดพระเนตรแรกนาที่เพชรบุรี พอคนที่เข้ามาแย่งเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกออกไปหมดแล้ว รับสั่งให้ตำรวจหลายนายออกไปค้นหาเมล็ดข้าว ว่าจะเหลืออยู่บ้างหรือไม่ ก็ไม่ได้มาเลยสักเมล็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกซึ่งเก็บไปนั้น เกษตรกรมักจะใช้เจือในพันธุ์ข้าวปลูกของตัว ให้เป็นสวัสดิมงคลแก่นา หรือนำไปปนลงไว้ในถุงเงินให้เกิดประโยชน์งอกงาม



           พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ได้กล่าวถึงพิธีแรกนาไว้ว่า "การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นธรรมเนียมโบราณ เช่น ในเมืองจีนสี่พันปีล่วงแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ลงทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ที่มีปรากฎอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อจำให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งมีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่าง เหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปรกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือ น้ำฝน น้ำท่ามากไปน้อยไป ด้วยเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นเหตุอันตราย ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกำลัง จึงได้ต้องแส่หาทางที่จะแก้ไข และทางที่จะอุดหนุน และที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปโดยฤดูปรกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรงลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเช่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สุด...."



           ดังนั้น จะเห็นได้ว่าพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือ พิธีแรกนา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ราษฎร สร้างความมั่นใจในการทำนา อันเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของคนไทยแต่โบราณสืบมาจนปัจจุบัน เพราะการเกษตรซึ่งมีการทำนาเป็นหลักนั้น ยังเป็นสิ่งสำคัญแก่ชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประเทศเสมอมา โดยวันประกอบพิธีนั้น ต้องเป็นวันที่ดีที่สุดของแต่ละปี ประกอบด้วย ขึ้น แรม ฤกษ์ยาม ให้ได้วันอันเป็นอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ แต่ต้องอยู่ในระหว่างเดือน 6 เพราะเดือนนี้เริ่มจะเข้าฤดูฝน เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะได้เตรียมทำนา เมื่อโหรหลวงคำนวณได้วันอุดมมงคลพระฤกษ์ ที่จะประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแล้ว สำนักพระราชวังจะได้ลงไว้ในปฏิทินหลวงที่พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ทุกปี และได้กำหนดไว้ว่าวันใดเป็นวันพืชมงคล วันใดเป็นวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ตามที่กล่าวมา
          เนื่องจากข้อจำกัดขอหน้ากระดาษ “ฉีกซอง” ขอนำเนื้อหาในส่วนที่เหลือยกยอดไปในฉบับต่อไป โปรดติดตาม
         
(ขอบคุณ : สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง , สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กรมส่งเสริมการเกษตร , กรมปศุสัตว์ , กรมการข้าว/ข้อมูล)

หมายเหตุ ต้นฉบับคอลัมม์ฉีกซอง จดหมายข่าวผลิใบ คอลัมม์ฉีกซอง ก้าวใหม่งานวิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ฉบับเดือนพฤษภาคม 2560